วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

สู่เศรษฐกิจเอื้ออารี Riane Eisler

การสร้างระบบเศรษฐกิจเอื้ออารี
การเปลี่ยนค่านิยมเชิงเพศสภาวะ
ริแอน ไอสเลอร์

Creating a Caring Economy
Changing Gendered Values

สมาชิกสภาโลก IMOW (พิพิธภัณฑ์นานาชาติของผู้หญิง) ริแอน ไอสเลอร์  ประธานของ Center for Partnership Studies และผู้ประพันธ์เรื่อง The Real Wealth of Nations: Creating a Caring Economics  ให้เหตุผลว่า คำนิยามใหม่ของเศรษฐกิจว่าควรจะรวมผลงานของผู้หญิง (เข้าไว้) ด้วยจะนำพาพวกเราสู่เส้นทางเศรษฐกิจในอนาคตที่มีพลานามัยดีกว่า  และแข็งแรงกว่า    ปัจจุบัน ไอสเลอร์ ทำงานเกี่ยวกับการริเริ่มนโยบายสาธารณะเพื่อผลักดันเศรษฐกิจที่มีพลานามัยดี

ผู้หญิงทั่วโลกต้องการการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมกัน  การงานที่มีเงินเดือนดีและเป็นที่เชื่อถือได้   เราต้องการเปลี่ยนกฎหมายและประเพณีที่กีดกันพวกเรา เพียงเพราะว่าเราเกิดเป็นหญิง  แต่และนี่คือสิ่งที่ดิฉันต้องการจะเจาะผู้หญิงต้องการมากกว่านั้น

เพื่อเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่า  ทั่วโลก มวลคนยากไร้และคนยากจนที่สุดในประดาคนจนเป็นผู้หญิงและลูกของพวกเธอ   และเพื่อที่จะก้าวหน้าไปสู่อนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืน  เราไม่เพียงแต่ต้องการส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นจากขนมพายเศรษฐกิจชิ้นปัจจุบัน    ขอใช้อุปมาของผู้หญิง  เราต้องปิ้งขนมพายเศรษฐกิจชิ้นใหม่ด้วย

นี่หมายความว่า การคิดนอกกล่องของระบบเศรษฐกิจที่เป็นประเพณีนิยมกันมา ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยมหรือสังคมนิยม   ระบบเศรษฐกิจเก่าของเราถูกสร้างขึ้นโดยปราศจากการคำนึงถึงผู้หญิง ซึ่งเป็นกึ่งหนึ่งของมนุษยชาติ   อันที่จริง บ่อยครั้ง (ระบบเก่า) ก็ไม่ได้คำนึงถึงมนุษยชาติทั้งมวล ทั้งชายและหญิง   ระบบเก่าเหล่านี้ล้วนพลาดในการทำให้งานของมนุษย์ที่พื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุดประจักษ์ขึ้นในที่แจ้ง และให้คุณค่าแก่มันตามควร กล่าวคือ งานการดูแลผู้คน เริ่มต้นจากปฐมวัย   งานที่ถ้าปราศจากมันแล้ว ก็จะไม่มีแรงงาน  งานที่ถ้าปราศจากมันแล้ว ก็จะไม่มีคนใดในพวกเราที่มีชีวิตอยู่ได้   งานที่แต่ดั้งเดิมได้ลดขั้นไปให้ผู้หญิง  และถูกคาดหมายว่า เป็นงานที่ไม่เหมาะสมสำหรับ ชายชาตรี

วิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบัน ได้เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส ให้ทบทวนและให้คำนิยามใหม่แก่สิ่งที่ใช่ และไม่ใช่งานที่มีผลิตภาพ /ผลิตผล   พวกเราผู้หญิงจะต้องสวมบทผู้นำในการตั้งคำนิยามใหม่  ไม่เพียงแต่เพื่อพวกเราเอง แต่เพื่อประโยชน์ของทุก ๆ คนผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก   อันที่จริง การให้คำจำกัดความใหม่นี้มีความจำเป็นยิ่ง เมื่อพวกเราเคลื่อนจากยุคอุตสาหกรรมไปสู่ยุคเศรษฐกิจที่ตั้งบนฐานความรู้และสารสนเทศ หลังยุคอุตสาหกรรม

มุมมองใหม่ต่อเศรษฐศาสตร์

ระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น  เราต้องการเศรษฐศาสตร์ใหม่ ที่นำพาให้เราไปพ้นจากการถกเถียงที่จำเจน่าเบื่อหน่ายระหว่างลัทธิทุนนิยมและลิทธิสังคมนิยม และรวมทั้งลัทธิเก่าๆ ทั้งหลาย  ทั้งทฤษฎีทุนนิยมและสังคมนิยม ล้วนละเลยสัจธรรมพื้นฐาน: ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชาติทั้งหลาย ประกอบด้วยผลงานของประชาชนและของธรรมชาติ

อดัม สมิธ และ คาร์ล มาร์ก ต่างละเลยความสำคัญยิ่งของกิจกรรมของธรรมชาติที่ธำรงรักษาชีวิต  สำหรับพวกเขา ธรรมชาติมีอยู่เพื่อให้กอบโกยหาประโยชน์ใส่ตัว แล้วจบเท่านั้น   สำหรับกิจกรรมที่ธำรงรักษาชีวิต ในการดูแลคน เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก  พวกเขาก็เห็นว่าเป็นเพียงแรงงาน ผลิตซ้ำๆ และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสมการ ผลิตภาพ ทางเศรษฐกิจ   พวกเขาเพ่งไปที่ตลาดสำหรับ สมิธ เพื่อยกย่องสรรเสริญ และสำหรับมาร์ก เพื่อประณาม สาปแช่ง    ทั้งคู่ไม่ได้รวมภาคที่ธำรงชีวิตในโมเดลเศรษฐกิจของเขา:  เศรษฐกิจในครัวเรือน  เศรษฐกิจธรรมชาติ และเศรษฐกิจอาสาสมัคร   และถ้าปราศจากภาคส่วนเหล่านี้ ก็ไม่สามารถมีเศรษฐกิจตลาดได้

ทั้งสามภาคส่วนนี้--ซึ่งถูกละเลยในดัชนีชี้วัดของเศรษฐกิจแบบประเพณีนิยม เช่น GDPไม่ทางใดก็ทางหนึ่งล้วนเกี่ยวพันตั้งแต่ดั้งเดิมกับผู้หญิงและความเป็นหญิง   ดังนั้นการเปลี่ยนเศรษฐศาสตร์  พวกเราต้องระลึกว่า เราทั้งหมดได้รับมรดกระบบคุณค่า/ค่านิยมบนพื้นฐานของเพศภาวะ  ระบบที่ตีกรอบว่า อะไรก็ตามที่เกี่ยวพันกับผู้หญิงเช่น การดูแลคน อหิงสา และการพยาบาลรักษาล้วนถูกมองว่าเป็นเรื่องรอง  อ่อน  ไม่ติดดิน  และในความเป็นจริงแล้ว มันตรงกันข้ามหมด

พวกเราเห็นได้ชัดว่า ถ้าเราดูที่ระบบเศรษฐกิจที่พัฒนาโดยประเทศแถบนอร์ดิก เช่น สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์    ประเทศเหล่านี้ได้พัฒนานโยบายที่รวมองค์ประกอบบวกของทั้งลัทธิสังคมนิยมและลัทธิทุนนิยม  และได้เลยเถิดไปถึงกับสร้างเศรษฐศาสตร์ใหม่ ที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลคนและธรรมชาติในลำดับต้น ๆ   พวกเขามีสถานเลี้ยงเด็กที่รัฐบาลสนับสนุน  การรักษาพยาบาลครอบจักรวาล  ค่าตอบแทนสำหรับช่วยครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูเด็กเล็ก  การดูแลคนชราอย่างมีศักดิ์ศรี  การให้ลาคลอดที่มีเงินเดือนอย่างเอื้ออารี  นโยบายสิ่งแวดล้อมที่มีเหตุผลดี และอุทิศความมั่งคั่งส่วนหนึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์สูง เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ยากจนกว่า

นโยบายเอื้ออาทรเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นผลจากการที่ประเทศเหล่านี้มีความมั่งคั่งกว่า  อันที่จริง ในต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่มประเทศนอร์ดิกนี้ ต้องทนทุกข์กับความยากจนและอดหยากสุด ๆ   แต่ทุกวันนี้ พวกเขามีมาตรฐานการครองชีพสูงสำหรับทุกคนทั่วหน้า   พวกเขามีอัตราความยากจนและอาชญากรรมต่ำ และอายุขัยยืนยาว  ประเทศเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ในรายงานประจำปีของสหประชาชาติเรื่อง การพัฒนามนุษย์ ซึ่งวัดคุณภาพชีวิต  พวกเขายังอยู่ในชั้นสูงสุดในรายงานประจำปี Global Competitiveness โดย World Economic Forum

ทำให้สิ่งที่อยู่ในมุมมืด ประจักษ์แจ้งขึ้น

เพื่อจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ กับปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น เราต้องตระหนักว่า การเขี่ยกิจกรรมการดูแลและการพยาบาลรักษาออกจากทฤษฎีและปฏิบัติเชิงเศรษฐศาสตร์ ได้ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อนอย่างมหันต์แก่มวลมนุษย์

ดัชนีตามประเพณีนิยมเกี่ยวกับอัตราผลิตผล (เช่น GDP และ GNP) ที่แท้วางกิจกรรมที่เป็นโทษต่อชีวิตเช่น การขายบุหรี่ และต้นทุนด้านสุขภาพและฌาปนกิจจากการสูบบุหรี่ให้อยู่ในประเภทบวก  แม้ว่ามันจะไม่มีค่าใด ๆ เลยต่อกิจกรรมธำรงชีวิตของทั้งเศรษฐกิจในครัวเรือนและเศรษฐกิจธรรมชาติ     อันที่จริง นักเศรษฐศาสตร์จะพูดถึงพ่อแม่ที่ไม่มีงานทำประจำนอกบ้านว่าเป็นคน ไม่ขันแข็งทางเศรษฐกิจ  แม้ว่าพวกเขาจะวุ่นทำงานตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนค่ำมืด

บางคนพูดว่า งานทำในบ้านไม่สามารถจะคำนวณเป็นปริมาณได้   แต่ความเป็นจริง มันทำได้อันที่จริง กำลังถูกวัดปริมาณ   ต้องขอบคุณนักกิจกรรมขององค์กรสตรีทั่วโลก   ปัจจุบัน หลายประเทศได้มีบัญชี บริวาร ที่คอยวัดค่าของงานในการดูแลคน และเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านให้มีพลานามัยและสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่เคยถูกจัดให้เป็น งานผู้หญิง แต่ดั้งเดิมมา   เช่น รายงานของรัฐบาลสวิสฉบับหนึ่ง กล่าวว่า ถ้าเรารวมงาน ดูแล ครัวเรือน ที่ไม่ได้รับค่าจ้างด้วย  มันจะมีมูลค่าถึง 70% ของ GDP ของสวิสเลยทีเดียว   แต่ไม่มีข้อมูลเหล่านี้ปรากฏในบทความของเศรษฐศาสตร์ประเพณีนิยมเลย

งานการเลี้ยงดู รักษา ได้รับความสนใจน้อยมากจนเกือบมองไม่เห็นเลย (และเป็นเช่นนั้นในมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์) ในการวัด อัตราการเพิ่มผลิตผล เมื่องานนั้นทำในบ้าน  และการลดมูลค่าของงานนี้ต่อไปอีก ได้สะท้อนออกมาในระบบเศรษฐกิจตลาด   อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแล รักษาพยาบาล จะได้รับค่าจ้างต่ำกว่างานอื่นๆ ที่อยู่นอกกิจกรรมเหล่านี้    ในสหรัฐฯ คนมักไม่คิดมากกับการที่ต้องจ่ายเงิน $50 - $100 ต่อชั่วโมง สำหรับช่างประปา คนงานที่เราเชื่อใจว่าจะดูแลระบบท่อน้ำของเราได้    แต่สำหรับคนงานเลี้ยงดูเด็ก  คนที่เราไว้วางใจให้ดูแลลูกของเรา กลับได้รับค่าแรง $10 ต่อชั่วโมงโดยไม่มีสวัสดิการใด ๆ ตามรายงานของกรมแรงงานของสหรัฐฯ    และในขณะที่เราเรียกร้องให้ช่างประปาได้รับการอบรม  เราไม่เรียกร้องให้คนงานดูแลเด็กทั้งหลายต้องได้รับการอบรมเช่นกัน

นี่เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล  มันเป็นอาการป่วย   แต่เพื่อทำความเข้าใจ และเปลี่ยนเจ้าระบบคุณค่าที่บิดเบี้ยวนี้  และเพื่อที่จะจัดการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพกับปัญหาที่ดูเหมือนจะสาวเหตุไม่ได้ เช่น ความยากจน และความหิวโหย เราจะต้องดูที่ปัจจัยที่มองเห็นได้เท่านั้น  ทันทีที่เราตระหนักถึงระบบล่องหนของคุณค่าเชิงเพศภาวะ

นโยบายเศรษฐกิจ  ความยากจน และ
ระบบคุณค่าเชิงเพศภาวะที่อำพราง

หลายคน รวมทั้งนักการเมือง คิดว่า ไม่เป็นไร ที่งบรัฐบาลขาดดุลมากมายเพื่อสนองค่าใช้จ่ายสำหรับเรือนจำ อาวุธ และสงคราม--ทั้งหมดล้วนเกี่ยวเนื่องกับผู้ชายและ ความเป็นชายชาตรีพันธุ์แท้     แต่พอมาถึงการสนองค่าใช้จ่ายสำหรับดูแลคนเลี้ยงเด็ก  รักษาพยาบาล  การศึกษาของเด็กก่อนวัยเรียน เป็นต้นพวกเขากลับตอบว่า ไม่มีเงินเพียงพอ

ไม่เพียงเท่านั้น  ในขณะที่นักการเมืองมักจะพูดว่า เป้าหมายของพวกเขาคือยุติ หรืออย่างน้อยลด ความยากจนและความหิวโหย  พวกเขาเกือบไม่เคยพูดถึงสถิติที่กองอยู่: มีผู้หญิงคิดเป็น 70% ในชาวโลกที่มีชีวิตในภาวะยากจนเต็มที่ ซึ่งหมายความว่า อดอยาก หรือใกล้อดอยาก    สิ่งที่ถูกละเลยในการอภิปรายตามประเพณีนิยมอีกเช่นกัน คือ ผู้หญิงทั่วโลกได้เงินเดือนโดยเฉลี่ยเพียง 2/3 ถึง 3/4 ของผู้ชาย เมื่อทำงานประเภทเดียวกันในระบบเศรษฐกิจตลาด  และงานส่วนใหญ่ที่ผู้หญิงทำในบ้านรวมทั้งการเลี้ยงลูก  การรักษาพยาบาล  การทำความสะอาดบ้านเรือน  การทำอาหาร และการทำเกษตรยังชีพ--ล้วนไม่มีได้รับค่าชดเชย

นี่ไม่ใช่เป็นการบอกว่า ผู้ชายไม่ได้รับความทุกข์ร้อนเลยในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน   แม้แต่ในประเทศที่ร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ  ครอบครัวที่นำโดยผู้หญิงจัดอยู่ในชั้นล่างสุดของลำดับเศรษฐกิจ  และอัตราความยากจนของผู้หญิงที่อายุเกิน 65 มีมากเป็นเกือบสองเท่าของชายอายุเกิน 65 ตามรายงานของสำนักงานสถิติสหรัฐฯ   ข้อเท็จจริง คือ แม้แต่ในประเทศที่ร่ำรวยเช่นสหรัฐฯ หญิงชรามีแนวโน้มจะตกอยู่ในความยากจนมากกว่าชาย เช่นนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะการเลือกปฏิบัติในระบบเศรษฐกิจตลาด  มันเป็นเพราะว่า ผู้หญิงเหล่านี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการดูแล รักษาคน และงานที่พวกเขาทำชั่วชีวิต ไม่เคยได้รับค่าตอบแทน หรือให้รางวัลภายหลังในรูปของประกันสังคมหรือเงินบำนาญ

จุดจบและจุดเริ่มต้น

ก้าวแรกสู่การสร้างเศรษฐศาสตร์ที่ใหม่จริงๆ คือ การสร้างโมเดลเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ ที่รวมเศรษฐกิจครัวเรือน เศรษฐกิจธรรมชาติ และเศรษฐกิจอาสาสมัคร เติมเข้ากับตลาด  รัฐบาล และเศรษฐกิจเถื่อน   แผนที่เศรษฐกิจที่เป็นจริงมากขึ้น และรวมทุกอย่างมากขึ้น จะช่วยให้ เกิดความประจักษ์แจ้งและเห็นคุณค่าที่แท้จริงของงานที่มนุษย์ทำที่มีความสำคัญยิ่ง: งานดูแล รักษาคนและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของเรา

กฎของตลาดท้องถิ่นและตลาดโลกจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป เป็นการให้รางวัลแก่ธุรกิจการดูแลรักษาคนและธรรมชาติ และลงโทษผู้ละเมิด/ไม่ดูแลห่วงใย  ในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราต้องแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ ไม่เพียงต่อคนและธรรมชาติเท่านั้น แต่ต้องรวมธุรกิจด้วย    งานศึกษานับร้อยแสดงให้เห็นถึงความคุ้มทุน (ในภาคธุรกิจ) จากการสนับสนุนและให้รางวัลแก่การเอื้ออาทรในระบบเศรษฐกิจตลาด   ขอยกเพียงหนึ่งตัวอย่าง บริษัททั้งหลายที่ติดอันดับอยู่เป็นปกติในรายชื่อที่ปรากฏใน Working Mothers หรือ Fortune 500 กล่าวคือ เป็นบริษัทที่มีสวัสดิการดูแลสุขภาพ  ศูนย์เลี้ยงเด็ก  การลาคลอด และนโยบายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาจะคืนกำไรให้แก่ผู้ลงทุนสูงกว่า

มีหลายทางที่จะให้ทุนสนับสนุนการลงทุนในการสร้างสาธารณูปโภคมนุษย์ในโลกของเรา ที่สามารถจะหักกลบลบหนี้ในระยะเวลานับปี  ซึ่งก็เช่นเดียวกับการลงทุนในสาธารณูปโภคที่เป็นถาวรวัตถุ   ทางหนึ่งคือ ขยับตัวออกจากการทุ่มทุนไปที่การลงทุนหนักในอาวุธและสงคราม   อีกทางหนึ่ง คือ ลองคำนวณถึงเงินที่จะประหยัดได้จากต้นทุนที่ต้องทุ่มไป ถ้าไม่มีการลงทุนในภาคส่วนเอื้ออาทร นั่นคือ ค่าใช้จ่ายสูงจากเงินภาษีประชาชนในการจัดการกับอาชญากรรม  กระบวนการศาล  เรือนจำ  การสูญเสียศักยภาพของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม    ภาษีที่เก็บจากการเก็งหรือปั่นหุ้น และกิจกรรมที่อันตรายต่าง ๆ เช่น การผลิตและขายอาหารขยะ  ก็สามารถนำมาสนับสนุนการลงทุนการดูแล/เอื้ออาทรต่อคนและธรรมชาติ

การเลี้ยงดูเด็กที่ดี จะเป็นหลักประกันว่า เราจะมีประชากรที่มีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ และเอื้ออารี ซึ่งเป็นที่ต้องการในสังคมยุคความรู้และสารสนเทศ หลังยุคอุตสาหกรรม    (นักวิชาการ) ทั้งสาขาจิตศาสตร์ และประสาทวิทยาได้แสดงให้เห็นว่า สมรรถนะเหล่านี้จะพัฒนาขึ้นได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ขึ้นกับคุณภาพที่เด็กได้รับการเลี้ยงดูมา

การให้การศึกษาและให้ค่าตอบแทนแก่คนที่ทำหน้าที่ดูแลรักษา จะช่วยลด ช่องว่างของการเอื้ออารี”—ทั่วโลกขาดการเลี้ยงดูเด็ก  คนชรา คนป่วย และอ่อนแอ   มันจะนำไปสู่การให้คำนิยามใหม่แก่ งานที่มีผลิตผล ที่ให้ความประจักษ์แจ้งและคุณค่า ต่อสิ่งที่ทำให้เรามีพลานามัยสมบูรณ์และเป็นสุขจริง ๆ  และในที่สุดก็ยังผลให้เกิดความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนในระบบนิเวศ

เราจะต้องสร้างการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กดดันให้นักวางนโยบาย วางนโยบายที่ทำให้เปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็เปลี่ยนตัวผู้วางนโยบาย

เราสามารถจะเป็นผู้นำในการสร้างรากฐานที่มีความสมดุลในเชิงเพศภาวะ สำหรับระบบเศรษฐกิจ ที่จะตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์อย่างแท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ  อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ    ถ้าเราเดินเข้าหากัน ร่วมมือกัน เราสามารถสร้างรากฐานเหล่านี้ และช่วยสร้างสรรค์อนาคตที่เด็ก ๆ ทั้งหลายจะสามารถตระหนักถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่สำหรับ จิตสำนึก  ความเมตตากรุณา ความเอื้ออารี และความคิดสร้างสรรค์: สมรรถนะที่ทำให้เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์

ริแอน ไอส์เลอร์ เป็นผู้นำในการรณรงค์นวัตกรรมนำร่อง เรียกว่า  ความมั่งคั่งที่แท้จริงของอเมริกา เพื่อประดิษฐ์วิธีการวัดเพื่อประเมินสุขภาพเชิงเศรษฐกิจของประเทศ   ผู้หญิงในสหรัฐฯ สามารถจะเข้าร่วมได้ในฐานะเพื่อนผู้ให้การศึกษาและนักรณรงค์   อ่านรายละเอียดเพิ่มได้

http://www.imow.org/economica/resources/podcasts/item?id=196 
dt/(10-17-09)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น