วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิสัยทัศน์ใหม่...มุมมองของผู้หญิง IMOW

ระบบเศรษฐกิจที่รับใช้ทุกคนอย่างเสมอหน้า

วิกฤตการเงินโลกได้เปิดโอกาสสำหรับผู้หญิงไหม? IMOW (International Museum of Women) นำเสนอจินตนาการและประสบการณ์อันหลากหลายของผู้หญิง เพื่อตอบคำถามว่า วิกฤตได้บ่มเพาะโอกาสหรือไม่?

ขลิบสีเงินบนขอบเมฆ ในระหว่างพายุกระหน่ำของวิกฤตการเงินทั่วโลก คือ มันได้ช่วยเปิดโปงจุดบกพร่องในระบบเศรษฐกิจของเรา และได้ช่วยเปิดโอกาสบ้างสำหรับการเปลี่ยนแปลง   ในสถานที่ต่างๆ เช่น บังคลาเทศ บาร์บาโดส โบลิเวีย กัมปาลา และมานิลา วาระเศรษฐกิจใหม่ๆ กำลังงอกเงยและเริ่มแข็งแรงขึ้น--วาระที่จะแก้ไขปัญหาที่ผู้หญิงทั่วโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่ และส่งเสริมให้พวกเธอได้มีส่วนร่วมและใช้ความสามารถของพวกเธอ   IMOW หวังว่า ผู้อ่านและผู้ฟัง จะสามารถถอดรหัส เรียนรู้จากบทความที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์และภูมิปัญญา ตั้งคำถามคำใหญ่  และช่วยพวกเราจินตนาการอนาคตที่สว่างสดใสและมีความเสมอภาคกว่าปัจจุบัน

An Economy That Works for Everyone

มาซุม โมมายา เป็นนักสิทธิสตรีนานกว่า 15 ปี ได้ใช้ความสามารถและประสบการณ์ของเธอในฐานะนักวิจัย นักการศึกษา และนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม มารวบรวมและสร้าง  Economica และ Women, Power and Politics นอกเหนือจากงานของเธอที่ทำกับ IMOW   มาซุม เขียนคอลัมน์รายสัปดาห์สำหรับ สมาคมเพื่อสิทธิสตรีในการพัฒนา (Association for Women's Rights in Development, AWID) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดองค์กรในชุมชนสื่อสตรีนิยม และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้เป็นกรรมการของมูลนิธิคลื่นระลอกที่สาม (Third Wave Foundation)   มาซุมได้อุทิศตัวเพื่อนำทฤษฎีและปฏิบัติให้มาเจอกัน ในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ   มาซุม ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมจาก Stanford University สาขานโยบายสาธารณะและสตรีนิยมศึกษา และปริญญาโทสาขาครุศาสตร์ และปริญญาเอกสาขาการพัฒนามนุษย์ ทั้งสองปริญญาจาก Harvard University

ข้อเท็จจริงสำคัญ

-           ผู้หญิงทำงานคิดเป็น 2/3 ของจำนวนชั่วโมงทั่วโลก แต่ได้รับค่าชดเชยเพียง 10% ของรายได้ของโลก
-           ผู้หญิงรับผิดชอบในการผลิตอาหารถึง 60-80% ของอาหารโลก แต่ครอบครองเพียง 10% ของความมั่งคั่งในโลก และ 1% ของที่ดินในโลก
-           ทั่วโลก กว่า 60% ของประชาชน ทำงานในกิจการของครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เป็นผู้หญิง
-           หากรวมมูลค่าของผู้หญิงในการทำงานบ้านและงานเกษตรที่ไม่ได้รับค่าจ้าง จะทำให้ GNP ของโลกเพิ่มขึ้น 1/3
-           ในประเทศเช่น ออสเตรีย แคนาดา ไทย และสหรัฐฯ  กว่า 30% ของธุรกิจทั้งหมดมีเจ้าของหรือผู้ประกอบการเป็นผู้หญิง   ไทยติดอันดับต้นๆ ด้วยอัตราส่วนที่น่าประทับใจถึง 40%
-           ตามสถิติปี 2006  53% ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นผู้หญิง แม้ข้อเท็จจริงระบุว่า เด็กหญิงมีเพียง 47% ของนักเรียนระดับประถมและมัธยม   ถึงอย่างไร ในภูมิภาคเช่น Sub-Saharan Africa และ เอเชียใต้ ผู้หญิงมีน้อยกว่า 35% ในระดับอุดมศึกษา และ 44% ในระดับประถมและมัธยม

การหลอมละลายของเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ได้ทำให้เกิดชุดวิเคราะห์อธิบายว่าเกิดอะไรผิดพลาด  และบัญชีข้อเสนอแนะยืดยาวว่า จะซ่อมแซมวิกฤต และป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อีกอย่างไร   ในหลายเดือนที่ผ่านมา นักวางนโยบาย นักข่าว และนักสิทธิสตรี ได้เริ่มต้นชูว่า ผู้หญิงเป็นทางออก หลัก  โดยอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้หญิงเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วโลก เป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่ประกอบไปด้วยงานที่ได้รับหรือไม่ได้รับค่าจ้าง และเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น   มีสถิติเพิ่มมากขึ้น ที่ส่งเสียงให้ลงทุนมากขึ้นในผู้หญิง ว่าจะแก้ปัญหาวิกฤตปัจจุบันและบรรลุเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
มีบางส่วน รวมทั้ง IMOW ที่ขอโต้แย้ง   ในด้านหนึ่ง ผู้หญิงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวันของโลก  ทั่วโลก ผู้หญิงปรับงบดุลในครัวเรือน และในบางกรณี ทำปรับงบดุลของทั้งประเทศและบริษัท   บ่อยครั้งพวกเธอจะต้องหาวิธีที่จะยืดทรัพยากรที่มีจำกัดให้ครอบคลุมความจำเป็นของทุกคนที่อยู่ในอาณัติการดูแลรับผิดชอบของพวกเธอ   ผู้หญิงได้มองเห็นและได้พยายามหาทางแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจที่รออยู่ ด้วยการอุดช่องว่างและจุดบกพร่องในความมั่งคั่ง ด้วยการสร้างกิจการขนาดใหญ่และเล็ก และเมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายระดับท้องถิ่น ชาติ และโลก
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้หญิงที่อยู่ใน 70% ของประชากรผู้ยากไร้ในโลก ขาดแคลนทรัพยากรและขาดผู้แทนในการดูแลผลประโยชน์ของพวกเธอ   เนื่องจากสงคราม โรคภัยไข้เจ็บ การกีดกันเลือกปฏิบัติ และการย้ายถิ่นเพื่อแสวงหางานทำ  ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นก็กลายเป็นหัวหน้าของครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว   ผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลก ยังคงต้องทำงานหลายกะ เป็นเวลาหลายชั่วโมงทั้งในและนอกบ้าน  ถึงกระนั้น พวกเธอก็ยังหาเงินไม่ทันกับการขึ้นราคาของอาหารและค่าเดินทาง ค่าเล่าเรียนและค่ายาที่แพงลิบสำหรับตัวพวกเธอเอง คือ การศึกษา ดูแลสุขภาพ และการฝึกทักษะเพื่อการจ้างงาน เพียงนิดเดียว
ในหลายทาง วิกฤตการเงินปัจจุบัน เป็นเสมือนหน้าต่างของโอกาสเพื่อแก้ข้อท้าทายเหล่านี้และส่งเสริมทักษะของผู้หญิง   การสนับสนุนให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมเช่น เงินกู้ โรงเรียน คลีนิคสุขภาพ โครงการฝึกทักษะ และมาตรการทางสังคมป้องกันให้พ้นจากความรุนแรงและการเอารัดเอาเปรียบจะช่วยให่เคลื่อนไปได้ไกลขึ้นสู่การลดความยากจน และช่วยเหลือครอบครัว   การลงทุนในผู้หญิง แน่นอน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
ในขณะเดียวกัน เราต้องคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับรายละเอียดข้อจำกัดของแนวทาง ที่มีแต่ลงทุน  เช่น การมีส่วนนร่วมเชิงเศรษฐกิจ เป็นอย่างเดียวกับการเสริมอำนาจ (empowerment) แก่ผู้หญิงหรือไม่?  การทำให้ผู้หญิงทำงาน ผลิตให้แก่เศรษฐกิจได้เต็มที่และมากขึ้น จะเป็นการส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น หรือเป็นการเพิ่มภาระใหม่?  เราจะสามารถยกสถานภาพของผู้หญิงได้โดยปราศจากการแตะต้องวิถีปฏิบัติเชิงวัฒนธรรมและความเชื่อ กำหนดคำนิยามใหม่แก่บทบาทหญิงชาย และแปรเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจ (gender roles and transforming economic systems) ได้ไหม?
วิกฤตปัจจุบัน ได้ตั้งคำถามที่ใหญ่กว่า และถึงลึกกว่าในระดับพื้นฐาน ที่เราจะเพิกเฉยไม่ได้   เศรษฐกิจแบบไหนที่เราต้องการ และมันควรตอบสนองวัตถุประสงค์แบบไหน?  การเพิ่มการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของผู้หญิงเป็นเป้าหมายในหรือของตัวเอง หรือเป็นมรรควิถีสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า เช่น สร้างโลกที่ทุกๆ คน ทั้งชายและหญิง มีโอกาสเท่าเทียมกันในการหาเลี้ยงตนเองและมีส่วนช่วยอุทิศให้ส่วนรวมดีขึ้น?
สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ วิกฤตเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ค่อยๆ สะสมมานานแล้ว   ก่อนหน้าที่ธนาคารและบริษัทประกันภัยในประเทศอุตสาหกรรม ร้องขอให้ช่วยดึงพวกเขาออกจากการล้มละลาย  ผู้หญิงได้ช่วยกู้รัฐบาลจากการตัดงบสังคม   เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ผู้หญิงได้สร้างหลักประกันในรูปแบบของพวกเธอเองด้วยการทำงานหนักในจำนวนชั่วโมงอันยาวนาน  ทำงานพิเศษเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มรายได้ สละเวลาพักผ่อนหรือหาความบันเทิง และอดทนต่อความเครียด  ผลคือ สุขภาพเสื่อมและเป็นโรค  ผู้หญิงเติมเต็มตำแหน่งในโรงงาน และแนวแถวในไร่นา   ด้วยการกระทำเช่นนี้ ผู้หญิงได้อนุญาตให้ประเทศและบรรษัทส่งออกและทำการค้า และพวกเธอได้ช่วยดันให้จีดีพีสูงขึ้น และบริษัทได้กำไรสูงขึ้น--โดยที่พวกเธอไม่เห็นผลหรือส่วนได้ที่มีนัยสำคัญสำหรับตัวพวกเธอเอง
ในขณะที่ทางออกบางอย่าง เช่น โครงการกองทุนหมุนเวียน (microfinance programs) ได้ช่วยให้ผู้หญิงมีทางเลือกแทนที่ความยากจนและงานที่ขูดรีด  ก็ยังเป็นความจริงที่ว่า ผู้หญิงครอบครองและควบคุมทรัพย์สิน/ความมั่งคั่งของโลกในสัดส่วนน้อยมาก   ความไม่เท่าเทียมที่สะสมมานาน และปัญหาเชิงระบบโครงสร้าง ทำให้การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในชีวิตของพวกเธอเกิดขึ้นได้ยาก
ยกตัวอย่าง Alice Amsden, ศาสตราจารย์ Political Economy ที่ Massachusetts Institute of Technology ชี้ให้เห็นว่า ในสถานการณ์ของการตกงานมหาศาล และการมีกิจการขนาดย่อมจำนวนมาก ... การศึกษาสำหรับผู้หญิงจะนำไปสู่การตกงานเพิ่มขึ้น  ทำให้กิจการครอบครัวยากเข็ญลง หรือสมองไหล  สิ่งที่ผู้หญิงพึงได้รับ คือ เพิ่มด้านอุปสงค์ (demand side) โดยรัฐบาล ในการสร้างอุตสาหกรรมและงานเหนือระดับยังชีพ
พูดใหม่ คือ ลงทุนในผู้หญิง ไม่สามารถจะเพียงแค่ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ  จะต้องคำนึงถึงความจำเป็น ความต้องการ ความห่วงใยของผู้หญิงเอง รวมทั้งสร้างโอกาสที่แท้จริงและยั่งยืน  ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ให้เงินเล็กน้อย หรือฝึกอบรมผู้หญิง จะไม่สามารถขยับเขยื้อนระบบซึ่งโดยพื้นฐาน มีความไม่สมดุลและไม่เท่าเทียม
ยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงในโลก มีจำนวนน้อยเกินไปในตำแหน่งตัดสินใจเป็นกรรมการสภาหมู่บ้าน ผู้แทนภาครัฐจากการเลือกตั้ง หรือรัฐมนตรีของประเทศ  หากปราศจากพื้นที่บนโต๊ะการตัดสินใจ ผู้หญิงทำได้เพียงน้อยนิดในการผลักดันการจัดสรรและการกระจายทรัพยากรในสังคมของพวกเธอ และสร้างหลักประกันว่าจะมีความเท่าเทียมกัน
เป้าหมายของการสร้าง นิทรรศการ Economica คือ ให้เป็นหน้าต่างโชว์ประสบการณ์หลากหลายของผู้หญิงรวมทั้งทักษะความสามารถพิเศษของพวกเธอ   แสดงให้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นในมุมต่างๆ ทั่วโลก  ทำไม และสามารถทำอะไรเพื่อให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น   เราต้องการจะยอมรับว่า ผู้หญิงเป็นตัวจักรที่ทรงพลังสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องการช่วยให้ผู้มาเยี่ยมเรา ดำลึกลงไปใต้คำศัพท์เทคนิคทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้ค้นพบเหตุและผลในระดับลึก และวิเคราะห์เพื่อหาทางเปลี่ยนแปลง   จากเรื่องราวของผู้หญิง เราตั้งคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสำเร็จรูป และเราเสนอทางเลือกจากผู้ที่ทำงานในระดับท้องถิ่น และระดับโลก ไม่เพียงแต่เพื่อเสริมอำนาจให้ผู้หญิง แต่ยังพลิกแปรระบบเศรษฐกิจด้วย
ผู้หญิงเตือนให้พวกเรารำลึกถึงรากเหง้าทั้งเชิงภาษาและแนวคิดของเศรษฐกิจ   คำว่า เศรษฐกิจ ในภาษาอังกฤษ "economy" มาจากรากภาษากรีก oikos ซึ่งแปลว่า บ้าน   คำที่งอกมาเป็น okonomia หมายถึงภารกิจของการจัดการบ้านในทางที่ ประหยัด รอบคอบ เท่าเทียม และตอบสนองต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย   ด้วยคำถามและวิสัยทัศน์ทางเลือก ผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของเสียงที่เราแบ่งปันกันใน Economica เป็นการเตือนพวกเราว่า การแก้ไขวิกฤตปัจจุบัน ไม่ใช่แค่การกู้คืนระบบตลาดและการคลังของชาติ แต่เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ประหยัด รอบคอบ เท่าเทียม และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน  นั่นหมายถึง การนับรวมผู้หญิงว่ามีส่วนอุทิศ และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการจินตนาการและสร้างระบบเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและในระดับโลก

[http://imow.org/economica/stories/viewStory?storyId=5230]   10-17-10

โยกงบสงคราม สู่การสร้างสังคมเข้มแข็ง--USA




งบผู้หญิงและสหรัฐฯ
การจัดลำดับเศรษฐกิจใหม่สำหรับ 2010 และต่อๆ ไป

Gender Budgeting and the U.S.
Creating New Economic Priorities for 2010 and Beyond

วารสาร ชีพจรโลก (World Pulse) ได้มอบหมายให้ เจน มิดจ์ลีย์ นักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าและผู้เชี่ยวชาญเรื่อง gender budgeting (การจัดสรรงบประมาณด้วยมิติหญิงชาย) ให้วิเคราะห์งบประมาณปี 2010 ของสหรัฐฯ และช่วยเขียนงบใหม่ให้มีคนเป็นศูนย์กลาง และค่าใช้จ่ายที่ให้เกียรติแก่ผู้หญิง  แล้วเธอกลับไปทำอะไร?  เธอได้เฉือนงบส่วนการทหารออกและเพิ่มงบให้แก่ที่อยู่อาศัย การศึกษา และสิ่งแวดล้อม   มิดจ์ลีย์ เป็นผู้เขียนหนังสือ เรื่อง ผู้หญิงกับงบประมาณของสหรัฐฯ: เงินของคุณไปที่ไหน และคุณสามารถจะทำอะไรได้กับมัน (Women and the U.S. Budget: Where Your Money Goes and What You Can Do About It)

งบในมิติหญิงชาย (Gender Budgets) คืออะไร?
            โดยทั่วไป คนมักจะเรียกว่า งบของผู้หญิง งบที่อ่อนไหวต่อมิติหญิงชาย หรือ งบในมิติหญิงชาย ("women's budgets," "gender sensitive budgets," or simply "gender budgets") ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ผสานความจำเป็น/ต้องการพิเศษของผู้หญิงลงในกระบวนการจัดสรรงบประมาณแห่งชาติ--และให้ผู้หญิงนั่งร่วมในกระบวนการเขียนงบด้วยกำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นทั่วโลก   ตามคำพูดของ UNIFEM ซึ่งเป็นผู้นำสำคัญในการฝึกอบรมผู้หญิงในการจัดทำงบประมาณที่อ่อนไหวและตอบสนองต่อมิติหญิงชาย  งบผู้หญิงต่างจากของผู้ชาย   งบผู้หญิงจะให้ความสำคัญต่อค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม  ในขณะเดียวกัน ก็จะใช้ความอดกลั้น/หักห้ามใจตนเองมากกว่าในเรื่องการเงิน   วิธีปฏิบัตินี้ ได้ถูกนำไปใช้ในกว่า 40 ประเทศ งบในมิติหญิงชาย มีศักยภาพที่จะขยับปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญในโลกทุกวันนี้

เอาพายโอบามามาเขียนใหม่
            รัฐบาลโอบามาเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ถูก ด้วยการใช้คุณค่าชุดใหม่ในการนำทางการจัดสรรงบประมาณสหรัฐฯ  แต่ก็ยังต้องไปอีกไกล
            น้ำหนักของงบปัจจุบันเอียงไปทางค่าใช้จ่ายของการหทารและอาวุธยุทโธปกาณ์อย่างมาก  ส่วนงบของฉันลดทอนงบสำหรับกองทัพ ความมั่นคงประเทศ (homeland security) และค่าใช้จ่ายสำหรับเรือนจำ   ตัดลดอย่างมากในค่าใช้จ่ายในกิจกรรมระหว่างประเทศ เพราะเปอร์เซ็นต์ก้อนใหญ่เป็นการช่วยเหลือด้านการทหารและอาวุธ  และเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับสังคม เช่น ที่อยู่อาศัย การศึกษา และการพัฒนาชุมชน
            งบกองทัพสามารถจะลดทอนได้หลายทาง   ยกเลิกระบบอาวุธยุทโธปกาณ์ที่ล้าหลังและเกินราคา เช่น เครื่องบินเจ๊ตจู่โจม (F-22 stealth fighter jet)  ตัดอาวุธนิวเคลียร์วิถีไกล (สหรัฐฯ และรัสเซียคงมีนับพันๆ ลูก)  ตัดระบบป้องกันขีปนาวุธ และยกเลิกโปรแกมการพัฒนาระบบประจัญบานอนาคตของกองทัพให้ทันสมัย (the Future Combat Systems Army modernization program) ซึ่งมีมูลค่า 160 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  การตัดงบเหล่านี้ จะต้องประกบด้วยการเน้นเพิ่มการทูต การต่อรอง และสัญญาการลดอาวุธยุทโธปกรณ์ร่วมกัน และต้องยกเลิกนโยบายหลายสิบปี ของการติดอาวุธให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตะวันออกกลาง   การเพิ่มในส่วนการใช้จ่ายด้านสังคม จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำให้สถานภาพทางเศรษฐกิจของประชาชนสหรัฐฯ เข้มแข็งขึ้น ด้วยการปรับปรุงระบบสวัสดิการสำหรับคนว่างงาน การเลี้ยงดูเด็กสำหรับคนงานที่มีรายได้ต่ำ  ปรับปรุงการศึกษาของรัฐ  ลดต้นทุนของที่อยู่อาศัย และทำให้การเรียนในระดับวิทยาลัยเข้าถึงได้สำหรับทุกๆ คน    การลงทุนเหล่านี้ จะช่วยลดการลงทุนในเรือนจำ ซึ่งจะเป็นอานิสงค์ประการหนึ่งของสังคมที่เคยขาดดุลในด้านการลงทุนที่มีประโยชน์ต่อสังคมมาตลอด
......
ความเห็นจากผู้อ่าน
ขอบคุณสำหรับอาหารสมอง  มันเป็นเรื่องน่าตกใจที่เห็นจำนวนเงินมหาศาลที่ทุ่มไปที่กำลังกองทัพ  ฉันดีใจที่ยุทธศาสตร์ (งบผู้หญิง) นี้ประกบด้วยการยอมรับ/เน้นถึงความจำเป็นที่ยังจะต้องมีระบบป้องกันประเทศ และเพียงแต่ขยับจุดเน้น  ประเทศที่มีความแข็งแรงด้านสังคมเศรษฐกิจมากเท่าไร ก็จะมีฐานะในโลกแข็งแรงขึ้นเท่านั้น  ด้วยการลดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นในการป้องกันประเทศ  ปรัชญาที่ง่ายๆ และตรงไปตรงมานี้ ไม่เพียงแต่ดูเข้าท่าในเชิงศีลธรรม แต่รวมถึงเชิงเศรษฐกิจด้วย


หญิงแกร่งท้าทายการเมือง-Colombia

การเลือกตั้ง
การลักพาตัวผู้สมัครเลือกตั้ง
วิบากหกปีของ Ingrid Betancourt

Kidnapping a Candidate : Ingrid Betancourt’s Six-Year Ordeal
Maureen Macleod, 2008

ผู้หญิงที่ลงแข่งขันหาเสียงในการเลือกตั้ง มักเผชิญสิ่งท้าทายและภัยคุกคามต่อความปลอดภัยและความมั่นคงของพวกเธอ  ตัวอย่างสุดโต่งหนึ่ง คือ ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโคลอมเบีย อิงกริด เบตันคอร์ท (Ingrid Betancourt) ผู้ถูกลักพาตัวโดยกองโจร (guerilla forces) ในปี 2002 ในระหว่างการหาเสียง   การถูกจองจำอยู่นานถึง 6 ปี ดูเหมือนจะสิ้นหวังที่เธอจะถูกปล่อยออกมา   แต่แล้ว ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2008 มีข่าวออกมาว่า เธอและตัวและกันอีก 14 คน ได้รับอิสระหลังจากหน่วยจู่โจมโคลอมเบีย ได้เข้าปฏิบัติการอย่างอุกอาจ   บทความนี้ของ IMOW มองย้อนตำนานไม่ธรรมดาของสตรีและนักการเมืองคนนี้
            จะต้องไม่มีการลักพาตัวอีกต่อไป นี่คือคำพูดที่ท้าทายของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโคลอมเบีย อิงกริด เบตันคอร์ท ในการรณรงค์หาเสียงในปี 2002   ในตอนนั้น เธอได้พบกับสมาชิกของกองกำลังติดอาวุธเพื่อการปฏิวัติ (Revolutionary Armed Forces of Colombia, FARC) ซึ่งเป็นกองโจรหนึ่งในป่าดงของโคลอมเบีย  เพียง 2-3 วันต่อมา เบตันคอร์ทกลายเป็นเหยื่อลักพาคนถัดไปที่มีชื่อเสียงที่สุดของ FARC  ร่วมทางกับชาวโคลอมเบียนับพันที่ถูกลักพาตัวในระหว่างการต่อสู้ ที่หลายคนเรียกว่าสงครามกลางเมืองยาวนานหลายสิบปี ที่เต็มไปด้วยคราบเลือด
            สำหรับหลายๆ คน  โคลอมเบียทำให้คนคิดถึงภาพการค้ายาเสพติด คอรัปชั่น และความรุนแรง  ด้วยบริบทนี่แหละที่ อิงกริด เบตันคอร์ท ใช้เวลายาวนานกว่าสิบปีก่อนหน้าถูกลักพา มุ่งทำงานเพื่อให้เสียงของเธอได้ยินถึงในวงการเมืองโคลอมเบีย

การกลับบ้าน
            เบตันคอร์ท เกิดมาในครอบครัวอภิสิทธิ์ ช่วงเวลาเติบโตของเธอส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ในฝรั่งเศส ในฐานะลูกสาวของนักการทูต   ในปี 1989 การลอบสังหารผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโคลอมเบียอีกคน Luis Carlos Galán ได้ดลใจให้เธอละทิ้งชีวิตที่สุขสบาย และหวนกลับคืนถิ่นกำเนิด   เบตันคอร์ท เสนอตัวเองเป็น นักเสรีนิยม-ต่อต้านคอรัปชั่น ในการลงสมัครเลือกตั้งสภาคองเกรส  การเมืองและการเลือกตั้งในโคลอมเบียไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นหญิงสาวที่ไม่มีคนรู้จัก  มีทุนจำกัด และไม่ยอมร่วมใช้วิธีซื้อเสียงที่ทุกคนปฏิบัติกัน

วิธีการแหกคอก
            เธอมีเพียงทางเลือกเดียว ก็คือทำให้เกิดผลกระทบที่ลืมไม่ได้  เธอใช้คอนดอม (condoms) ยืนแจกจ่ายให้ประชาชนบนท้องถนน  การให้คอนดอมแก่ชาวโคลอมเบีย เป็นสัญญลักษณ์การป้องกันตัวจากคอรัปชั่นนรัฐบาลรวมทั้งจากเชื้อโรค  ในขณะนั้น เอดส์กำลังเป็นเรื่องร้อนในวาระโลก ยุทธวิธีนี้จึงสร้างผลกระทบอย่างที่เธอต้องการ และเธอก็ประสบความสำเร็จ ได้รับเลือกเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
            เช่นเดียวกับนักกิจกรรมและนักการเมืองที่ตั้งใจดีทั้งหลาย ความพยายามของเบตันคอร์ทในการนำเปลี่ยนแปลงสู่โคลอมเบีย ถูกกีดกันสกัดกั้นมาโดยตลอด  แขนขาเขี้ยวเล็บของขบวนคอรัปชั่น และอิทธิพลของเจ้าพ่อค้ายาเสพติดทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการรักษาผลประโยชน์ตังเอง   เธอถูกข่มขู่มากกว่าหนึ่งครั้งว่าจะทำร้ายลูกๆ ของเธอ ซึ่งเป็นกลยุทธทั่วไปที่อาชญากรใช้เพื่อปิดปากผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง  ผลคือ เบตันคอร์ทส่งลูกๆ ของเธอไปอาศัยอยู่ต่างประเทศกับบิดาของลูกๆ  สามีเก่าในประเทศนิวซีแลนด์

อ๊อกซิเจน เติมเชื้อเพลิงในการชิงตำแหน่งในวุฒิสภา
            เบตันคอร์ทไม่ต้องการอยู่กับพรรคเสรีนิยมต่อไป จึงตั้งพรรคของตัวเองขึ้นเรียกว่า อ๊อกซิเจน   ในปี 1998 เธอประกาศตัวลงแข่งขันการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก  ครั้งนี้ เธอยืนแจกหน้ากากอนามัย ด้วยหวังว่าจะเทียบเคียงคอรัปชั่นกับมลภาวะในสิ่งแวดล้อม  เธอชนะด้วยคะแนนเสียงสูงสุดตั้งแต่มีการลงคะแนนเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเป็ต้นมา  เป้าหมายสูงสุดของเบตันคอร์ท คือ ยุบและยกเลิกสภาคองเกรส และสร้างองค์รวมของระบบนิติบัญญัติใหม่  ในวันที่ร่าง พรบ ฉบับนี้ถูกขว้างทิ้ง เธอได้ตัดสินใจที่จะลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2002

สนามแข่งสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี
            ด้วยลักษณะที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างท่วมท้นของเธอ อิงกริด เบตันคอร์ท กระโจนลงลู่แข่งขันสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีเต็มตัว  เธอเดินทางไปทั่วประเทศ เยี่ยมเยียนพื้นที่ห่างไกล ที่ๆ ผู้คนไม่คุ้นเคยกับการที่มีผู้สมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีลงมาหาและฟังความคิดเห็นของพวกเขา  เธอเดินทางด้วยรถโดยสารดอดจ์ขนาดเล็ก (Dodge minibus) เก่าๆ คันหนึ่ง หรือ "chiva" ซึ่งเป็นรถโดยสารท้องถิ่นดั้งเดิมที่ประชาชนทั่วไปใช้เดินทางระหว่างไร่นากับเมือง  และแน่นอน ไม่มีการรณรงค์ครั้งไหนของ อิงกริด เบตันคอร์ท จะสมบูรณ์ได้หากไม่มีเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ  ครั้งนี้ คือ Viagra  เธอยืนแจกบนท้องถนนอีกเช่นเดิม แจกแผงยาเม็ด เพื่อชักจูงผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า โคลอมเบียต้องการความกระปรี้กระเปร่าคืนมาเหมือนกับที่ Viagra สัญญาไว้
            เนื่องจากการขัดผลประโยชน์พิเศษที่มีอยู่ นักวิเคราะห์คาดว่าเธอไม่มีทางจะชนะได้ในการแข่งขันครั้งนี้ แต่เธอก็เดินหน้ารณรงค์ต่อไป  ประธานาธิบดี Pastrana ได้เปิดการเจรจากับ FARC และเขตปลอดทหารได้ถูกกำหนดขึ้น เพื่อให้นักการเมืองและผู้ก่อการกบฏได้เจอกัน   เมื่อการเจรจาเพื่อสันติภาพล้มเหลว เบตันคอร์ทยังคงเพิกเฉยต่อคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเข้าไปในเขตนั้น   ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2002 เธอและผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ของเธอ คลาร่า โรฮาซ์ ก็ถูกลักพาตัวโดยผู้ก่อการร้ายขวางกั้นถนน

การรณรงค์ที่ไร้ตัวผู้แข่งขัน
            ในเดือนต้นๆ หลังจากที่เธอถูกลักพาตัวไป มีการเผยแพร่เทป พิสูจน์ว่ายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เบตันคอร์ท ยังมีสภาพจิตใจที่ดีอยู่พอสมควร แม้จะอยู่ในภาวะถูกกักตัว  ครอบครัวและพรรคของเธอดำเนินการรณรงค์ต่อไปโดยปราศจากตัวเธอ แต่ขนรูปถ่ายของเธอบนกระดาษแข็งใหญ่เท่าตัวจริงไปแทน   ในวันลงคะแนน เบตันคอร์ทผู้ถูกลักพาไปติดอันดับที่ห้า ในจำนวนผู้เข้าชิง 11 คน ได้คะแนนกว่า 50,000 เสียง   ในขณะที่วันเดือนแห่งความทุกข์ทรมานเวียนเป็นปี เสียงร้องอ้อนวอนจากครอบครัวของเธอและแรงสนับสนุนทั่วโลก ต่างไม่สามารถทำให้เธอถูกปล่อยได้
            ความหวังว่า เบตันคอร์ทจะอยู่รอดได้ลดลงเมื่อวีดีโอเทปม้วนหนึ่งโผล่ขึ้นมา เป็นการบันทึกในเดือนตุลาคม 2007  ในภาพ เธอดูซูบผอมและบอบบางอย่างน่าสงสาร ไม่มีร่องรอยของครั้งหนึ่งที่เป็นนักการเมืองที่มีบารมีและแข็งขืน  มีข่างลือว่า เธอใกล้ความตาย

อิสรภาพ
            ในสองเดือนแรกของปี 2008 FARC ได้ปล่อยตัวผู้ช่วยของเบตันคอร์ท คลาร่า โรฮาซ์ พร้อมกับตัวประกันอีกกลุ่มหนึ่ง  ในวันที่ 2 กรกฎาคม ทหารโคลอมเบีย แฝงกายเป็นพวกกบฏ ได้ล่อ FARC ให้ส่งตัว เบตันคอร์ท และตัวประกันอีก 14 คน แล้วบรรทุกกลุ่มที่ถูกใส่กุญแจข้อมือนี้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์  พอบินขึ้นสู่อากาศ ตัวประกันทั้งหลายต้องตะลึงเมื่อได้ยินว่า พวกเขาเป็นอิสระแล้ว
            อิงกริด เบตันคอร์ท โผล่ออกมาจากป่าโคลอมเบีย ดูซีดเซียวแต่มีรอยยิ้ม  เธอบอกเป็นนัยแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเรื่อง การ ทรมานและหมิ่นประมาทที่เธอต้องประสบ บอกว่า สิ่งเดียวที่ฉันเตรียมใจไว้ คือ ฉันต้องการจะให้อภัย และการให้อภัยก็มาพร้อมกับการลืมเลือน
            ตั้งแต่การปล่อยตัวของเธอในปี 2008 เบตันคอร์ท ได้พบับลูกๆ และครอบครัวของเธอในฝรั่งเศส  เธอเดินทางไปสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน เพื่อแสดงปาฐกถาที่สหประชาชาติ เรื่อง สถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับเหยื่อผู้ก่อการร้าย เธอเรียกร้องให้มีฐานข้อมูลรวมศูนย์ เพื่อจัดระบบและเผยแพร่ความต้องการของเหยื่อ