วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความเสมอภาค...ที่เอ่อขึ้นจากในสู่นอก

คนละความหมายเดียวกันของชีวิต:  
การสืบค้นสนทนากับเสียงด้านใน เขียนโดย เจมี่ ออนา แพนกายา
แปลเรียบเรียงโดยสมพล ชัยสิริโรจน์ และ ณัฐฬส วังวิญญู


อะไร คือความหมายของชีวิต?” เรามักจะได้คำตอบสำหรับคำถามที่เก่าแก่นี้ ต่อเมื่อเรามองผ่านม่านวัฒนธรรมของเรา หรืออาจจะกล่าวให้เจาะจงลงไปคือ ผ่านประสบการณ์โดยตรงของเราที่หล่อหลอมในวัฒนธรรมนั้น

คนคนหนึ่ง อาจจะหาความหมายของชีวิตจากศาสนาที่เขานับถือ  เพื่อเขาจะบรรลุจุดหมายของชีวิตเขาจะไปสู่สวรรค์ หรือเขาจะบรรลุหลุดพ้น หรือเขาจะรักและใส่ใจผู้คนมากมายในโลกนี้ สำหรับบางคน ชีวิตจะรู้สึกประสบความสำเร็จเมื่อได้บรรลุความสำเร็จทางการเงิน จนมีบ้านหลังงาม มีเสื้อผ้าชุดสวย และได้ขับรถที่หรูหราแสดงสถานภาพ และเป็นเจ้าของสรรพสิ่งที่สร้างสรรค์ความสนุกสนาน

ส่วนอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะบรรลุความสำเร็จใดใดก็ตาม แต่ความหมายสำคัญอย่างยิ่งของชีวิตคือ การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูล เราเกิดมาเพื่อก่อกำเนิดคนรุ่นต่อไป เพื่อสร้างและเป็นสุขกับครอบครัว และสามารถขับเคลื่อนมนุษยชาติด้วยชีวิตครอบครัวของเรา

สำหรับอีกหลาย ๆ คน ชีวิตมีความหมายเมื่อเราเข้าใกล้ความเป็นอมตะ ด้วยคุณงามความดีที่เราได้ทำให้กับสังคมและโลก ประกอบกับคุณค่าของตัวเรา และความคิดสร้างสรรค์ที่เราได้ริเริ่มขึ้น เป็นที่จดจำในใจในความรู้สึกนึกคิดของคนจำนวนมากสืบเนื่องอย่างยาวนาน เฉกเช่น ลีโอนาร์โด ดาวินซี่  เบโธเฟน  คานธี ไอน์สไตน์

เมื่อใครสักคน ตั้งสมมุติฐานว่าชีวิตจะมีคุณค่า ต่อเมื่อได้บรรลุจุดหมายที่วัฒนธรรมนั้น ๆ กำหนดไว้ ดังนั้นหากประสบการณ์ใดใดที่ไม่เติมเต็มจุดหมายนั้น ๆ ย่อมถูกประเมินว่าเป็นชีวิตที่ไร้สาระ บ่อยครั้งที่เราได้ยินเสียงของคุณวิจารณ์ภายในตัวเรา ตอกย้ำกับเราว่า เรากำลังใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า  จากคำกล่าวโบราณที่ว่า เวลาเป็นเงินเป็นทองบอกเราว่าหากเราไม่ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง เราย่อมไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องแลกมาด้วยทรัพยากรที่จำกัด นั่นคือ เวลา กระแสความกลัวเช่นนี้ไหลต่อเนื่องอยู่ในใจของคนมากมาย

หากเปรียบร่างกายของเราซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่คอยตอบสนองความต้องการต่างๆ อันหลากหลายของร่างกาย ภาวะทางจิตของเราก็ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ภายในที่ดำรงอยู่เพื่อแสดงออก และเติมเต็มความต้องการทางจิตวิทยาของเราเช่นกัน และความต้องการทางจิต จำนวนไม่น้อย ที่ต่างขัดแย้งและตรงข้ามกัน เช่น เราอาจจะต้องการที่จะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผู้คน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องการพื้นที่ที่เป็นสัดส่วนเป็นตัวของตัวเอง

ในขณะที่เราเติบโต เป็นตัวเป็นตนเป็นผู้มีเจตจำนงและความสามารถในการเลือก เราเติบโตโดยรู้สึกว่าเราคือบางส่วนเท่านั้นภายในตัวเรา และตัดขาดจากส่วนอื่นๆ ของตัวเรา  วิธีการรับมาเป็นเราหรือการผลักไสเช่นนี้ใช้ได้ผลในหลายๆ ทาง แต่ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะพบเหตุการณ์ที่ใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล
 
นานมาแล้วที่ฉันได้เสียงของคุณวิจารณ์บอกฉันว่า ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม เสียงช่างติ ช่างวิจารณ์นี้ เป็นพาหนะนำสาสน์บอกให้เรารู้ว่า เราได้กลายเป็นหนึ่งเดียว กับบุคลิกทางจิตของเราด้านหนึ่งมากเสียจนละทิ้ง ไม่แยแสด้านตรงข้าม  เสียงของคุณวิจารณ์กังวลว่า ฉันไม่มีชีวิตก้าวหน้าเพื่อที่จะตื่นรู้อย่างเพียงพอ หรือฉันไม่มีความมั่งคั่งทางวัตถุและสถานภาพทางสังคมเพียงพอ และฉันก็ไม่มีลูกซะด้วย เสียงนี้เป็นห่วงเป็นใยว่า ฉันยังทำอะไรต่อมิอะไรไม่มากพอ

ในด้านหนึ่งฉันก็ตระหนักถึงคุณค่า ภายในตัวฉันที่มุ่งทำประโยชน์ให้กับสังคม และอีกด้านหนึ่งฉันก็เห็นคุณค่า ที่จะเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่จะปล่อยตัวเองให้ ดำรงอยู่เท่านั้นก็พอแล้ว  แต่เป็นเพราะเสียงของคุณวิจารณ์ของฉันกลัวว่า ฉันกำลังใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า โดยไม่ใช้เวลามากพอ ที่จะเตรียมสร้างที่ทางที่มั่นคงในยามที่ฉันแก่ชรา หรือแม้แต่เตรียมที่ทาง ให้ตัวฉันได้เป็นที่ระลึกนึกถึงในประวัติศาสตร์ รวมทั้งเตรียมตัวฉันให้ไปในที่ฉันควรจะไปหลังจากฉันสิ้นลม เสียงภายในต่างๆ เหล่านี้เป็นเสียงจากตัวตนที่ฉันแยกทิ้งไป ซึ่งอาจจะเรียกเขาว่า ตัวตนคนพิเศษฉันจึงตัดสินใจที่ไตร่ตรองทบทวนที่มาที่ไปของเสียงนี้ โดยรับฟังและตรวจสอบดูว่า ฉันอาจจะมองข้าม และยังไม่ได้ตอบสนองคุณค่าและความหมายบางประการที่เสียงนี้ ให้ความสำคัญ

ฉันได้พบว่า คนพิเศษในตัวฉันคอยบอกฉันเสมอ ๆ ว่าฉันนั้นไม่ธรรมดาแค่ไหนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มีสตรีคนใดที่มีการศึกษาและเฉลียวฉลาด สามารถก่อร่างสร้างตัวเองโดยไม่ต้องแต่งงานหรือรับมรดกจากพ่อแม่ และไม่ต้องรับผิดชอบลูกเล็กเด็กแดง (และมีทางเลือกที่จะมีลูกก็ได้แต่ไม่เลือก) อีกทั้งสุขภาพใจและกายเข้มแข็ง คนอย่างฉันช่างหายากเสียเหลือเกินในประวัติศาสตร์ทั้งมวลของมนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคสมัยของฉัน ผู้หญิงอีกจำนวนมากไม่ได้มีอิสรภาพเช่นนี้อย่างฉัน ดังนั้น เสียงภายในของฉันจึงดังกังวานว่า ฉันมีหน้าที่ต่อผู้หญิงคนอื่นๆ มีความรับผิดชอบต่อสตรีเพศทุกคน โดยฉันจะต้องใช้ศักยภาพและเงื่อนไขที่ฉันได้รับมานี้ก่อให้เกิดประโยชน์และ คุณค่าสูงสุดไม่ใช่เพียงเพื่อตัวฉันเองเท่านั้น แต่เพื่อผู้หญิงทั้งผอง!  เพื่อเผ่าพันธุ์!!!  เพื่อชีวิตทั้งปวง!!!

แน่นอนฉันรู้สึกขำ ขณะที่ฉันกำลังคิดเช่นนั้น เพราะทันทีทันใดนั้นเอง ส่วนอื่นๆ ของตัวฉันก็สวนกลับมาด้วยข้อสังเกตที่เย้ยหยันและส่อเสียดว่า ช่างสูงส่ง ช่างโอ้อวดตัวซะปานนั้น

วันนี้ฉันต่างจากเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งฉันเคยเป็นพวกบ้างานแบบสุดๆ ในเวลานี้ ตัวตน คนธรรมดาของฉันได้มีพื้นที่ในชีวิตฉัน ฉันสามารถเป็นสุขกับสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิต ไม่ว่าจะจัดบ้าน ดูแลสวน จ่ายตลาด อ่านหนังสือ ดูหนัง และมีเพื่อนมาทานอาหารเย็น เมื่อฉันใช้ชีวิตเช่นนี้ด้วย ตัวตนเป็นคนธรรมดาของฉัน ฉันจึงเป็นสุขที่เพียงได้เดิน ได้ยืดเส้นยืดสาย ใช้เวลาผ่อนคลายอย่างมากมาย

แต่วิถีชีวิตเช่นนี้ทำให้ตัวตน คนพิเศษของฉันแทบคลั่ง เพราะเป็นวิถีที่มีแต่กิจกรรมที่ธรรมดาไร้ความหมาย ไร้สาระ ชีวิตอย่างนี้นะเหรอ ไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนาไม่มุ่งมั่น ไม่มีประโยชน์ และจะไม่อยู่ในความทรงจำของใครเลย น่าเบื่อ ไม่มีอะไรสักอย่าง จะตายวันตายพรุ่งแล้วยังยุ่งอยู่แค่เล่นหัวมัวผ่อนคลายอย่างนั้นเหรอ?”

และ ณ ตรงนี้เอง ท่ามกลางการตระหนักรู้ของฉัน ฉันรู้สึกได้ว่าคนพิเศษ ของฉันกำลังทุกข์ร้อนกับความตายที่กำลังมาเยือน   ตัวตนส่วนนี้ของฉันรับรู้เวลาว่า เป็นสิ่งที่เลื่อนไหลไปทางเดียวอย่างคงเส้นคงวา จากจุดเริ่มต้นสู่จุดจบ จากจุดก่อกำเนิดสู่ความตาย สำหรับตัวตน คนพิเศษของฉัน เขามองเห็น ชีวิตที่เป็นธรรมดา ว่าเปล่าประโยชน์ เฉื่อยชานิ่งเฉย ชีวิตพึงเติบโต และขับเคลื่อนจากแรงบันดาลใจไปสู่การสร้างสรรค์ จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปสู่สิ่งใหญ่โต จากเมล็ดสู่พืชพันธุ์ที่ผลิดอกออกผล  คนเราต้องมีจุดหมายที่จะเติบโต พัฒนาและบรรลุผล

ตัวตนส่วนนี้ของฉัน ไม่ต้องการให้ฉันจากโลกนี้ไป ก่อนที่ฉันจะผลิดอกออกผลงดงามเป็นความสำเร็จ และจริง ๆ แล้วจากมุมมองของตัวตนนี้ ชีวิตอาจจะหมดไปเร็วกว่าที่คิด ส่วนนี้ของฉันเป็นส่วนที่ก่อเกิด ผลักดัน เร่งเร้าให้ฉันสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกสักคน หนังสือสักเล่ม ภาพวาด และคุณประโยชน์ใดใดสักอย่างที่จะดำรงอยู่เมื่อฉันจากไป เพื่อสลักเสลาตัวตนของฉันลงในศิลาจารึกและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และทั้งหมดนี้คือ วิถีของตัวตนส่วนนี้ของฉัน ที่ให้คำจำกัดความว่าความหมายของชีวิต นั้นเป็นเช่นไรสำหรับฉัน และเมื่อฉันรับฟังด้วยใจที่เป็นกลาง ฉันพึงให้เกียรติกับมุมมองนี้โดยไม่พิพากษาตัดสินเขาเลย

ในอีกด้านหนึ่ง ตัวตน คนธรรมดาของฉัน ก็ใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละขณะจิต เหมือนดำรงตนอยู่ในสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิที่เคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่งก็ตาม
ความหมายของชีวิตคือประสบการณ์ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันทีละขณะ การอ่านหรือการเรียนรู้ใดใดก็ตาม ไม่ใช่พาหนะที่จะนำพาเราเดินทางไปไหน แต่เป็นวาระที่ให้เราได้สัมผัสมุมมอง หรือประสบการณ์ของผู้อื่นอย่างเป็น ปัจจุบัน

เมื่อฉันมีชีวิตอยู่ทีละขณะจิต ประสบการณ์ชีวิตของฉันดำดิ่งลงลึกและแผ่กว้าง รุ่มรวยละเอียดอ่อนและเต็มเปี่ยม ด้วยมุมมองนี้ ฉันไม่เห็นคุณสมบัติหรือคุณประโยชน์ของฉันว่าพิเศษหรือแตกต่าง จากช่วงเวลาอื่น ๆ
ชีวิตทุกชีวิตมีเหตุปัจจัยเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจง ให้เราได้ประสบพบพานเสมอ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ว่า ฉันจะสามารถดำรงชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมในแต่ละห้วงขณะ ได้อย่างไร ไม่ว่าสถานการณ์ที่ฉันกำลังเผชิญนั้นจะเป็นเช่นไรก็ตาม

จาก จุดยืนจุดนี้ในตัวฉัน ความพึงพอใจ มาจากการดำรงอยู่กับสิ่งต่างๆตามที่เป็นได้อย่างรื่นรมย์ ทุกช่วงขณะเวลาคือจุดหมายปลายทางและความสำเร็จในตัวของตัวเอง ไม่ว่าชีวิตเราจะผลิบานหรือไม่ก็ตาม เราก็ดำรงอยู่ และ
การดำรงอยู่นั้นมีความหมายมีคุณค่าในตัวของตัวเอง เมื่อเราดำรงอยู่ คุณค่าที่งดงามอันพึงสัมผัสได้ในแต่ละขณะก็เผยปรากฏ เฉกเช่น ดอกไม้สักดอกสามารถดำรงอยู่ได้โดยอาศัยการดำรงอยู่ของเมล็ด ราก กิ่งก้าน ลำต้น และกลีบใบ เช่นนั้น

เมื่อฉันดำเนินชีวิตด้วยตัวตน ผู้ดำรงอยู่ตัวฉันในฐานะของ ดอกไม้ที่กำลังผลิบานก็บังเกิดขึ้นพร้อมกันไปหมด กาลเวลาไม่มีเริ่มต้น เคลื่อนไหวหรือจบลง ทั้งหมดนั้นประกอบเป็นปัจจุบันขณะ
เวลาไม่ใช่เส้นตรงที่มีทิศทางเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นอมตะ ตัวตนคนธรรมดาและผู้ดำรงอยู่เป็นทุกข์ร้อนเมื่อฉันใช้ชีวิตที่เห็นเวลาเป็นเพียงเส้นตรงเท่านั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้น มิติที่หลากหลายและห้วงขณะที่แผ่กว้างทั้งหมดนั้นก็จะ หายไป ในเวลาที่เป็นเพียงเส้นตรง ตัวตนผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันอย่างธรรมดาก็ปลาสนาการไปจากการสำนึกรู้

เมื่อ ฉันสามารถ
ให้เกียรติเสียงภายในที่ตรงข้ามกันอย่างเสมอภาค  คุณวิจารณ์ภายในของฉันก็เงียบเสียงลง  ในเวลานั้น เขาไม่จำต้องส่งสาสน์บอกฉันว่า ยังมีบางส่วนภายในตัวฉันที่ถูกทอดทิ้งอยู่ ฉันสามารถรับรู้โดยไม่พิพากษาตัดสินทั้งสองส่วนเลย และฉันสามารถเลือกที่จะกระทำการใดใด โดยอาศัยมุมมองของด้านใดด้านหนึ่งหรือ จากทั้งสองด้านได้

เมื่อฉันประจักษ์ถึงความเป็นไปได้ของทั้ง ตัวตนเป็นคนธรรมดาและตัวตนคนพิเศษของฉัน   ฉันได้รับโอกาสอันดีที่จะมีประสบการณ์อยู่ระหว่างกลางของทั้ง สองอย่างกระจ่างชัด  ความกระจ่างแจ้ง มาจากความรู้สึกชื่นชมความแตกต่างและความต้องการพิเศษของคู่ ตรงข้ามได้อย่างเต็มใจ แล้วก็เริ่มพยายามประคับประคองอาการตื่นรู้ เพื่อรับรู้ความจริงที่ต่างขั้ว กันนี้ อีกทั้งพยายามฝึกฝนเจตจำนงเสรี ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีทางเลือกที่แท้จริง โดยรับรู้และให้เกียรติความแตกต่างที่ขัดแย้ง แล้วใช้ความรู้สึกเลือกวิถีทางที่เหมาะกับ
สถานการณ์เฉพาะหน้านั้น ๆ   และที่สุดเฝ้าดูผลที่ปรากฏภายในใจ

จุดหมายไร้ปลายทางของ Voice Dialogue Work คือ Aware Ego Process

“Paradoxical Meanings of Life ~ Being and Doing ~by J’aime ona Pangaia, copyright 2004
ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มได้ที่ สถาบันขวัญแผ่นดิน kwanpandin@gmail.com และ voicedialoguework@gmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น