ผู้คัดค้าน และ ผู้คล้อยตาม: ภูมิศาสตร์ของอิสลามในอินโดนีเซีย[1]
ชามิลา แอนนี บินติ โมฮัมเหม็ด อริฟฟิน (เอพีไอ รุ่น 4)
มาเลเซีย
ในบทความของ Christopher Prendergast เรื่อง Codeword Modernity (2003) ที่วิจารณ์หนังสือของ Federic Jameson เรื่อง The Singular Modernity ได้จารนัยถึงอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังคำว่า “สมัยใหม่” (modernity) Prendergast แย้งว่า “สมัยใหม่” มักจะปฏิบัติการดุจ “หมวดต้นแบบของกาลเวลา” (master category of the time) และมักจะตั้งตัวเป็นนิทานที่ “มีสัตยาบานรองรับ. ... นิทานที่ปรุงสร้างขึ้นด้วยการมองย้อนอดีต ผ่านกลไก ‘ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ได้เลือกไว้แล้ว’ ที่อิ่มไปด้วยอุดมการณ์ แล้วแปลงตัวให้ดูเป็นธรรมชาติ ว่าเป็นนิทานเพียงหนึ่งเดียวในเมือง”
Prendergast กล่าวว่า ความคิดแนวสมัยใหม่ ไม่สามารถหลีกหนีจากการจัดลำดับเวลา และเป็นไปไม่ได้ที่จะรวมความหลากหลายเข้ามา การจัดลำดับเวลาอย่างเลี่ยงไม่ได้นี้ ทำให้ต้องนำคำว่า “หยุดพัก”/”เว้นวรรค” และ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน/รอยต่อ” มาใช้อธิบาย “ความสมัยใหม่” และถึงแม้ว่า ถ้าความคิดนามธรรมนั้นจะได้ผ่านเป้าหลอม ออกมาเป็นเรื่องราวบรรยายแข่งกับผู้อื่นได้อย่างที่ Jameson ได้เสนอแนะ ก็คงจะนำพาพวกเราให้มุ่งไปสู่จุดจบที่ “ถูกใบสั่งให้ระดมมุ่งไปสู่ที่ๆ ถูกกำหนดไว้แล้ว” ดิฉันเห็นว่า พวกเราคงจะจบเรื่องด้วยการลำดับเวลาที่ถูกกำกับด้วย “เวลาที่ถูกต้อง”
จุดสำคัญของโครงการ (เอพีไอ) ของดิฉันในอินโดนีเซีย คือ มองเข้าไปในความเปิดกว้าง ความหลากหลายของชาวมุสลิมในอินโดนีเซีย โดยเพ่งจุดสนใจไปที่ประสบการณ์ที่มีชีวิตเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณเชิงสังคม วัฒนธรรม และความเป็นปัจเจกบุคคลของ คนที่มีความเห็นคัดค้านทางศาสนา (ต่อกระแสหลัก)—การไม่เห็นด้วยกับข้อบัญญัติหลายๆ ประการในความเชื่อความศรัทราของชาวมุสลิม ทีถูกแปลงเป็นรหัส และประทับตราฝังอยู่ในโครงสร้างที่ประกาศตัวว่าเป็นนักบุญ ในรูปกฎหมาย หรือทฤษฎี ซึ่งดิฉันขอใช้คำว่า “ระบบราชการของความเชื่อ”
ในขณะที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับปัจจัยที่กำกับสุ้มเสียง สำเนียง ลักษณะ และคุณภาพของอิสลามทุกวันนี้ที่ได้สำแดงตนมากขึ้นว่าเป็นระบบความเชื่อที่เข้มงวด เคร่งครัดในหลักศีลธรรม และหัวรั้น โครงการศึกษานี้ พยายามที่จะเข้าใจ ในเชิงเปรียบเทียบว่า ทำไมชาวมุสลิมอินโดนีเซียจึงแสดงอาการต่อต้านอย่างแรงต่อแนวโน้มของศาสนาดังกล่าว แนวโน้มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการลุกฮือขึ้นทั่วโลกของสภาวะที่ดิฉันขอเรียกว่า “โครงการจักรวรรดิมุสลิม”—ที่เรียกร้องว่า อัตลักษณ์มุสลิมที่ถูกต้อง จะต้องวัดได้ในเชิงสังคม วัฒนธรรม และจิตใจ จะต้องนับจำนวนได้และตรวจสอบได้ เพื่อที่จะวัดผลเชิงคุณภาพได้ ดิฉันเชื่อว่า การทำความเข้าใจกับแรงต้านในความเชื่อทางศาสนาต่อกระแสหลักนี้ เป็นเรื่องสำคัญพอๆ กัน
จุดสังเกตของประสบการณ์การคัดค้านภายในอิสลามทุกวันนี้ คือ การยึดถือความเห็นที่แตกต่างจากเค้าโครงนิติศาสตร์ตามประเพณีดั้งเดิมของ กฎเกณฑ์อิสลาม (Normative Islam) ในบางส่วนหรือทั้งหมด ความเห็นคัดค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรูปแบบของวัฒนธรรม ไม่จำเป็นที่จะต้องมองว่าเป็นเรื่องของความไม่รู้เรื่อง ความแตกต่างจากกฎเกณฑ์มาตรฐาน อาจถูกปรุงแต่งโดยวัฒนธรรมเฉพาะหนึ่งๆ ที่ทำให้คนภายนอกที่รู้กฎเกณฑ์ดั้งเดิมมองว่าไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของศาสนาที่กำลังพิพาทกันอยู่ ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่ควรจะเรียกสำเนียงวัฒนธรรมเหล่านี้ว่า เป็นการเพี้ยนศาสนา เนื่องจากตัวละครวัฒนธรรมนั้น สนใจที่จะแสดงออกถึงความหลากของศาสนา มากกว่าต้องการที่จะพนันขันต่อท้าทายว่าของๆ ตนเป็นของแท้กว่า
การที่เราจะไปเที่ยวบอกว่าใครเพี้ยน หรือโง่เขลา เราจำเป็นต้องกำหนดฐานันดร/ลำดับความสำคัญให้กับกฎเกณฑ์มาตรฐานบางประการ และนั่นคือหลักการที่เรากำลังท้าทายอยู่ แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า การท้าทายดังกล่าว ควรจะมีขอบเขตจำกัด คือ จะไม่ไปขัดขวางการสร้างแนวเขตที่กำหนดโดยระบบความเชื่อหนึ่งๆ สำหรับการแสดงออกของผู้ศรัทธา ในความเป็นจริง ความคิดก็เหมือนกับแนวเขตที่จับต้องได้ จึงไม่จำเป็นที่ความคิดเห็นใดๆ จะปราศจากความคลุมเครือ ข้อยกเว้น หรือแม้แต่การบูรณะขึ้นใหม่ การเสนอว่าคนอื่นเพี้ยน เป็นการอ้างว่ากฎเกณฑ์มาตรฐานแท้ดั้งเดิมมีอยู่จริง ทั้งๆ ที่พื้นฐานกฎเกณฑ์มาตรฐานเหล่านั้นได้ถูกผู้มีอำนาจปกครองจัดลำดับความสำคัญไว้ก่อนแล้ว โดยอ้างวจนะของศาสดาโมฮัมเหม็ด บ่อยครั้ง ความไม่ลงรอยกัน แท้จริงเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์มาตรฐานในจินตนาการ และหลายคนที่มีความเห็นคัดค้าน ก็ไม่ได้ยืนกรานที่จะล้มล้างกฎเกณฑ์มาตรฐาน หรือว่าไม่มีความรู้เรื่องกฎเกณฑ์ดังกล่าว
ความแตกต่างบางอย่างเป็นเรื่องของโครงสร้างอย่างชัดเจน มันขึ้นกับพื้นฐานของจิตวิญญาณความเชื่อส่วนบุคคลโดยเฉพาะ บางคนเชื่อว่าโครงสร้างในวจนะของโมฮัมเหม็ด มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับตัวให้เข้ากับกาลเทศะของแต่ละท้องที่ ความเห็นส่วนบุคคล (subjectivity) ดังกล่าว สามารถจะโอบรวมพฤติกรรมการแสดงออกทางจิตวิญญาณที่หลากรูปแบบภายในจารีตทางอักขระเดียวกัน มากกว่าที่จะไปเที่ยวหักล้างกัน พวกเขาอาจจะยึดถือมาตรฐานทางศาสนาในลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมของเขา ซึ่งอาจแตกต่างไปจากมาตรฐานที่สร้างจากการรับรู้โดยตรง (positivistic) จากประสบการณ์หรือการทดลอง/เชิงประจักษ์ (empirical) และกฎหมาย ดังที่สนับสนุนโดยระบบราชการทางศาสนา ความเห็นส่วนบุคคลเช่นนี้ อาจช่วยให้มองเห็นว่า การแยกออกเป็นสองขั้ว คือ การยึดมั่นในอักขระ หรือการล่วงละเมิด—อันเป็นคำที่ชาวมุสลิมถูกกำหนดให้คิดเพื่อปรุงสร้างตรรกะของศาสนา—มีช่องว่าง หรือทางสายกลางสำหรับสภาวะตรรกะอื่น ๆ ของศาสนา ที่ทำให้เกิดความนิยมแต่ไม่ได้จารึกเป็นตัวอักษร ซึ่งไม่เพียงแต่พึงยอมรับเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของศาสนา แต่แท้จริง ยังอาจเสริมให้ศาสนาแข็งแรงยิ่งขึ้นได้
ดังที่ดิฉันจะอภิปรายต่อไป ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่มีส่วนทำให้ อินโดนีเซียได้พัฒนาประเพณีของความเป็นพหุศาสนา ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นความสามารถของอินโดนีเซียในการยอมรับฐานันดรเวลาชุดใดชุดหนึ่ง แต่เป็นการลำดับเวลาเชิงภูมิศาสตร์ ในตำแหน่งที่ตั้งอยู่ที่ชายขอบของโลกมุสลิม อินโดนีเซียสามารถธำรงรักษาความหลากชุดของการลำดับเวลา—ภาวะในอดีตก่อนยุคมุสลิม ก็ยังมีชีวิตอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับโลกมุสลิมทุกวันนี้ ดังนั้น การยกความสำคัญสูงสุดให้แก่ ‘สมัยใหม่’ จะเป็นการทำลายล้างความหลากหลายของอิสลามในอินโดนีเซีย อันเป็นรากฐานของการสามารถเปิดกว้าง เพราะ ความสมัยใหม่ ในฐานะที่เป็น ‘เวลาที่ถูกต้อง’ มีแนวโน้มที่จะทำลายความหลากชุดของการจัดเรียงกาลเวลา
การวางท่าว่า ได้ตั้งตัวเป็นกลาง สนับสนุนผังตะแกรงความคิดที่ขาดความต่อเนื่องของ ‘ความคิดสมัยใหม่’ บ่อยครั้ง เป็นเหมือนหน้ากากที่หลุดออกมาได้ เมื่อค่านิยม เช่น ความไม่ทันสมัย ความล้าสมัย หรือการทวนสมัย หลุดปากออกมา และเผยให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของความไม่เป็นกลางในเรื่องศีลธรรม และอุดมการณ์ อันตรายของบูรณาการสร้างผังตะแกรง ที่แบ่งแยกความต่อเนื่องกันออกอย่างสวยงาม ได้ทำให้เราไม่สามารถตระหนักถึงคุณภาพใกล้เคียงกันของมนุษย์ทั้งมวลในการมีประสบการณ์เหนือกาลเวลาและสถานที่ (transcendential experience) ในความเห็นของดิฉัน ผู้คัดค้าน จัดอยู่ในพวกที่มีความช่ำชองในวิถีประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์จากแนวคิดสมัยใหม่ และไม่ได้อยู่ในลำดับเวลาใดๆ
ในการเดินทางของดิฉันระหว่างที่ได้รับทุน เอพีไอ นี้ ดิฉันได้ลงพื้นที่ไป 10 จังหวัด ใน 5 เกาะที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ ยกเว้นเกาะบาหลี ดิฉันได้สัมผัสกับความเห็นคัดค้านที่ผสมผสานความคิดโบราณกับความคิดสมัยใหม่ ในข้อเท็จจริงปรัมปราที่ฝังอยู่ในตำนานที่ไม่มีกาลเวลา รวมทั้งในตรรกะของความลี้ลับ เสียงคัดค้านของอินโดนีเซียมีหลากหลายมิติ มีตัวละครจากทั้งในเมืองและชนบทที่ให้ความสนใจเข้าร่วมแสดงเหตุผล และสร้างตำนานด้วยการใช้คำศัพท์ร่วมสมัย หรือดั้งเดิม เพื่ออธิบายความคิดเรื่อง สมัยใหม่ และล้าสมัย
บทความในลำดับต่อไป อยู่ในบริบทของความเห็นที่ยังตกลงกันไม่ได้เหล่านี้ มีทั้งลักษณะอิสระส่วนตัวหรือเป็นหมู่คณะ หรืออยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรม แม้ว่าบริบทของความไม่เห็นพ้องกัน ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน และกระบวนการที่ติดตามมาในการให้ความหมายทางจิตวิญญาณหรือธรรมจริยา (piety) จะแตกต่างกันมาก ส่วนที่จะสาธยายยาวที่สุดคือ ชุมชน ศันตรี (Santri) ของชาวชวา ซึ่งมีการจัดกระบวนที่ท้าทายฝ่ายมุสลิมเคร่งครัด (orthodox) ส่วนที่เหลือ จะกล่าวถึงแง่มุมต่างๆ เช่น เจนเดอร์/เพศสภาพ ศิลปะ เพศวิถี และวัฒนธรรมท้องที่
ศันตรี ของชาวชวา:
การเมืองของการอนุรักษ์ศาสนา เทววิทยาของธรรมจริยา
ในแง่นิรุกติศาสตร์ ศันตรี เป็นคำในภาษาชวา สำหรับเรียกนักเรียนนักศึกษามุสลิมด้านศาสนาที่อยู่ประจำโรงเรียนกินนอนที่ เปซานเตรน (pesantren) อันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชวาที่พัวพันกับเรื่อง มาตรฐานธรรมจริยา (normative piety) มากกว่ากลุ่มอื่น คำว่า ศันตรี นี้น่าจะมีรากศัพท์สันสกฤต ศาสตรี (Shastri) มาจากคำว่า ศาสตรา (shastra) ซึ่งหมายถึงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ หรือตำราความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ศาสตรี จึงแปลว่า นักปราชญ์ผู้ได้ร่ำเรียนมามาก ส่วน เปซานเตรน ของชวา หรือโรงเรียนประจำที่สอนศาสนาอิสลาม ที่เคยเป็นสถาบันอิสระในการศึกษาเล่าเรียนศาสนาอิสลามในหมู่บ้าน ซึ่งทุกวันนี้ได้มีการจัดการที่เป็นทางการมากขึ้น ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ามีต้นกำเนิดจากสถาบันในลักษณะเดียวกัน ที่สามารถสาวรากย้อนไปถึงอดีตเมื่อครั้งชาวชวายังนับถือฮินดู-พุทธ อยู่
งานศึกษาทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของ Geertz (1990) มักจะมองว่า ชาวมุสลิมชวาส่วนใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยสามัญชน/ชาวนา อบางัน (abangan) และ ชนชั้นสูง ปริยาหยี (priyayi) เป็นมุสลิมแต่ชื่อ กล่าวคือ ในกลุ่มแรก ยังคงนับถือผีสางเทวดา ส่วนกลุ่มหลัง ก็ยังคงฝักใฝ่อยู่กับศาสนาฮินดู-พุทธ ด้วยเหตุนี้ Geertz และคนอื่นๆ จึงสรุปว่า ชุมชน ศันตรี เป็นกลุ่มมุสลิมที่บริสุทธิ์และอุทิศตัวต่ออิสลามมากที่สุด
การสรุปเช่นนี้ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มานาน [Woodward (1999) อ้าง Hodgson (1974), etc.] Geertz เองก็ดูเหมือนจะมีความเข้าใจจำกัดในเรื่องอิสลาม ต่อลีลาน้ำเสียงของการเคลื่อนไหวปฏิรูปของมุสลิมสมัยใหม่ (Muslim modernist reform movement) ซึ่งมุ่งเน้นในมิติกฎข้อบังคับด้านธรรมจริยา และการพัฒนาอัตลักษณ์มุสลิมเชิงประจักษ์ (empirical Muslim identity) ดังนั้น ความเห็นของ Geertz จึงแสดงออกถึงความไม่รอบคอบ และความไม่รู้เรื่องอย่างเป็นระบบในความซับซ้อนหลากมิติ และประวัติศาสตร์นานาชาติ
พิธีกรรมการร่ายเวทย์มนตร์มากมายในอิสลามชวา ได้ทำให้นักวิชาการหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ซูฟิ (Sufi) คงจะเป็นพวกแรกที่เข้ามาแปลงศาสนาให้ชาวชวา แต่แล้ว นักวิชาการเช่น Ricklefts (2001) ก็จะรีบแย้งขึ้นมาเสมอว่า มีหลักฐานน้อยมากที่ชี้ว่า มีการจัดตั้งภราดรภาพซูฟิ ในยุคต้นของอิสลามในภูมิภาคนี้
สำหรับดิฉัน บทวิเคราะห์ที่ว่า มีประวัติศาสตร์การแปลงศาสนาแบบมวลชนให้เป็นอิสลามนอกแดนอาหรับ ได้สร้างความเสียหายด้วยการทำเกินด้วยการเหมารวมว่า อิสลามเป็นภารกิจของชาวตะวันออกกลาง การยอมรับเช่นนั้น เป็นการจำกัดความสามารถของพวกเราในการวิเคราะห์จิตวิทยาย้อนศรในกระบวนการแปลงศาสนา และการเมืองของการนำพามวลชนเข้ารีต ความสามารถในการวิเคราะห์ย้อนศรนี้ต่างหาก จะช่วยส่องแสงนำทางให้เรามองเห็นประสบการณ์และศักยภาพของความเป็นมุสลิม ที่ค่อนข้างจะเป็นอิสระจากศูนย์กลางบ่อเกิดของอิสลาม แต่เรากลับมีแนวโน้มที่จะให้คะแนนความชอบมากเกินไป สำหรับความรอบรู้ที่ชาวต่างชาติได้ปรุงแต่งสร้างขึ้น ซึ่งมีผลให้ความสนใจของพวกเราแตกกระจาย มองข้ามโครงสร้างพื้นฐานทางจิตวิญญาณที่มีเราอยู่ สิ่งที่เรามองข้ามนี้ อาจจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหมู่ในกรอบคิดทางจิตวิญญาณได้ การเปลี่ยนศาสนาในหลายกรณี เป็นเรื่องปฏิสัมพันธ์และการปรับตัวทางจิตวิญญาณใหม่—ค่อยเป็นค่อยไป มีการดิ้นรนสูง สับสน ส่วนใหญ่จะขมขื่น และมักจะเป็นเรื่องการเมือง ‘ผู้เข้ารีต’ เลือกและปรับตัว ให้ความหมายและลำดับความสำคัญใหม่ รวมทั้งต้องเผชิญกับภาระใหม่อันเนื่องมาจากการยอมรับนับถือกรอบความเชื่อใหม่นี้
ในแง่นี้ ชาวมุสลิมชวาได้ทำให้คนภายนอกสับสน ด้วยการที่ยังคงยึดถือในเรื่องสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ และพิธีกรรมพื้นเมือง—ผีสางเทวดา วายัง กูลิต (wayang kulit หนังตะลุง และหนังเชิด) สุสานศักดิ์สิทธิ์ การจุดธูปและกำยานเครื่องหอม เครื่องรางของขลัง การร่ายเวทย์มนตร์ คาถาอาคม การเข้าฌาน และการทำภาวนาสมาธิ
ด้วยเหตุนี้ Woodward (1999) ได้แย้งว่า มาตรฐานธรรมจริยา (normative piety) และ การร่ายมนตร์ขลัง พิธีกรรมลี้ลับ (mysticism) ไปด้วยกันได้ และก็เป็นพฤติกรรมการแสดงออกทางธรรมจริยาของมุสลิมที่ใช้ได้ ทั้งๆ ที่ความจริงปรัชญาทั้งสองค่ายจะถูกแยกออกจากกันแล้วในกาลครั้งหนึ่ง
ดิฉันเห็นด้วยกับ Woodward ที่ว่า อิทธิพลของซูฟิต่ออิสลามชวายังปรากฏให้เห็นได้ชัดอยู่—ในบันทึกของราชสำนักชวา รวมทั้งประเพณีชาวบ้าน และในสถาปัตยกรรมของมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในชวา ในขณะเดียวกัน Riddell (2001) ได้กล่าวว่า ในตะวันออกกลาง ลัทธิซูฟิ เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบในช่วงเวลาหลายศตวรรษ หลังจากที่โลกอาหรับได้กลายเป็นอิสลามหมดแล้ว แต่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ลัทธิซูฟิ กลับเข้ามาเป็นมาตรฐานในขณะที่อิสลามเพิ่งก่อตัว ก่อนที่แนวทางกฎบังคับจะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น อันที่จริง วรรณกรรมทางศาสนาที่เก่าแก่ของชวาเต็มไปด้วยตัวละคร เช่น Cebolang ที่หมกมุ่นในกาม จากเรื่อง Serat Centhini และการผจญภัยเชิงเทววิทยาของ Syeikh Siti Jenar ตัวละครเหล่านี้ อาจถูกใช้เพื่ออธิบายประเด็นต่างๆ แต่ทั้งหมดก็ได้สะท้อนถึง ความคิดเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ ที่วนเวียนอยู่ในประวัติศาสตร์ของชวา และได้ทำหน้าที่ขยายความตึงเครียดระหว่างแนวทางกฎบังคับที่เป็นทางการ กับแนวทางลี้ลับ ในการแสดงออกถึงความเลื่อมใสต่อศาสนา ในภูมิภาค
จาก Mulder (1999) เราสามารถอนุมานได้ว่า ความเข้าใจลึกซึ้งทางจิตวิญญาณเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา ตำนาน และเรื่องลี้ลับของขลัง ของ ’สังคมเก่า’ ในชวากลางตอนใต้ เกี่ยวโยงไปถึง ราชวงศ์มาตาราม ของ โย๊คจาการ์ตา (Yogjakarta) และ ซูราการ์ตา (Surakarta) นั้นอยู่นอกเหนือ เทววิทยาสายอับราฮัม แม้ว่าจะได้รับเอาบางส่วนจากอิสลามเข้ามา ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะดูที่บทบาทการกล่อมเกลาที่มีชนชั้นสูงเป็นศูนย์กลาง หรือการธำรงรักษาโดยชาวบ้านที่ปกครองตัวเอง หรือเป็นการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วน ถึงแม้ว่าจะยังมีความคลางแคลงใจสูงต่ออัตลักษณ์มุสลิม รวมทั้งในบางรูปแบบก็มีการแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราด และเป็นอริต่อปริมณฑลของเวทย์มนตร์ขลังของชวา ที่มีรูปแบบเปลี่ยนแปรไปนับไม่ถ้วน คุณค่าของมันคือ ทำให้เกิดผู้ปฏิบัติมีความตื่นตัวสูง และให้มีความมานะบากบั่นในการพัฒนาตนเองให้บรรลุภาวะจิตอีกระดับหนึ่งที่อยู่เหนือสัญชาติญาณ สามารถเข้าถึงสมาธิและความรู้เรื่องของขลังที่เร้นลับ
ดังนั้น ถ้าเราคิดจะย้อนทิศทางจราจร—เราอาจจะเห็นว่า ชาวชวา เป็นผู้ที่เริ่มติดใจและน้อมรับอิสลาม ซึ่งแรกนำพาเข้ามาโดยลัทธิซูฟิ นี่อาจนำเราไปสู่ความเป็นไปได้ที่กระบวนการเข้ารีตที่ไม่ต้องมีการบังคับหรือใช้กำลัง ถ้าเรายอมรับความเป็นไปได้เช่นนี้ คำตอบต่อคำถามของ Ricklefs ก็ชัดเจน เหตุผลหนึ่งที่ไม่มีการจัดตั้งภารดรภาพซูฟิในยุคเริ่มต้นของอิสลามในชวา อาจเป็นไปได้ว่า ผู้คนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมี ชาวชวามีความเชี่ยวชาญในเรื่องลี้ลับ (mystic) อยู่แล้ว
ย้อนไปไกลกว่านั้น เป็นเวลายาวนานก่อนที่อิสลามจะมาถึง ชาวชวาได้พัฒนาความเชี่ยวชาญในการใคร่ครวญสิ่งลี้ลับ ซึ่งแสดงออกมาในรูปของการผนวกรูปแบบพื้นเมืองต่างๆ ที่หลากหลาย ให้เข้ากับของใหม่จากต่างแดนได้อย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ หรือฮินดู ด้วยกระบวนการที่ลื่นไหล ที่ไม่จำเป็นต้องทำลายของเก่าเพื่อรับของใหม่เข้าแทนที่ แต่เป็นการฉาบอีกชั้นหนึ่ง ลงบนโครงสร้างที่มีอยู่เดิม จิตสำนึกต่อความเชื่อชุดใหม่ ไม่จำเป็นจะต้องมีการประดิษฐ์ธรรมจริยาชุดใหม่—ให้ห่างไกลจากรูปแบบที่นิยมกันอยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่มีอยู่แล้วก็เปิดทางให้รูปแบบหลากหลายของธรรมจริยาอื่นให้เข้ามาอยู่ร่วมได้ ราชวงศ์มาตารามที่มีความทะเยอทะยานด้านวัฒนธรรมสูงส่ง ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นผู้นำพาชาวชวาเข้ารีตให้เป็นอิสลาม ก็คงจะไม่ยอมสนับสนุนการลอกเลียนแบบทั้งดุ้นหรือยอมรับว่าวัฒนธรรมต่างแดนเหนือกว่าของตน
ภายใต้ภูมิหลังดังกล่าวมานี้ ดิฉันใคร่ขอแนะนำบุคคลจากสี่องค์กร ทั้งหมดเป็นผู้สืบสานศาสนาอย่างไม่มีจุดด่างพร้อย อันเป็นผลผลิตของระบบ เปซานเตรน หรือได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำทางศาสนาของชุมชน พวกเขาจะศึกษาต่อสาขาวิชาต่างๆ ในภาควิชาอิสลามและอาหรับศึกษาในระดับอุดมศึกษาภายหลัง และอย่างน้อยก็จะอ่านภาษาอาหรับได้คล่องและมากขึ้น แต่ส่วนมากก็พูดได้คล่องแคล่วอยู่แล้ว พวกเขาจะเป็นผู้ลงสมัครที่สมบูรณ์แบบในกระบวนการคัดเลือกนักการศาสนาในระดับสูงของวงการมุสลิมอินโดนีเซีย ซึ่งเทียบได้กับ อุลลามา (ulama ผู้นำนักการศาสนา) ในฝ่ายมุสลิมดั้งเดิม/อนุรักษ์
แต่วันนี้ พวกเขาได้เป็นกระบอกเสียงชาวมุสลิมที่ชัดเจนว่า เอียงข้างมาทางความหลากหลายของศาสนาทั้งภายในและภายนอกสถาบัน และที่สำคัญพอๆ กัน คือ การแยกระหว่างรัฐและศาสนจักร พวกเขาล้วนเป็นนักศึกษาที่เข้มข้นในความคิดสมัยใหม่ทางสังคมและการเมือง แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนสำนึกในบุญคุณที่ได้รับการฝึกฝนอบรมแบบดั้งเดิมในอิสลาม ที่ทำให้พวกเขาสามารถร่วมโต้วาทีในประเด็นเทววิทยาต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
เข้าสู่หัวใจของประเด็น พวกเขาต่างตั้งคำถามต่อวิธีการที่ทฤษฎีกฎเกณฑ์ของอิสลามถูกพัฒนามาเพื่อบงการความคิดของพวกเราด้านธรรมจริยา ทำให้อิสลามกลายเป็นระบบศาสนา ที่เพ่งเป้าไปที่การบังคับควบคุมระบบประสาทการกระตุ้นทางจิตวิญญาณ นี่เป็นการทำลายความมหัศจรรย์ของอิสลาม ที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่น—ศักยภาพของความเสมอภาค ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความลี้ลับ และแม้แต่การปฏิรูปทางการเมือง พวกเขาเห็นว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว เมื่ออักขระของอิสลามถูกใส่รหัสให้เป็นกฎหมาย โดยผู้คนจากต่างวัฒนธรรม ประเพณี และเวลา—เป็นการแปรเปลี่ยนอย่างถาวรให้ยอมรับสิ่งที่คนต่างถิ่นสร้างขึ้น ศันตรี ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ในหลายๆ แง่ ก็เป็นการสืบสานประเพณีของการเป็น “ผู้เข้ารีตที่เป็นตัวของตัวเอง” (active converts)
เลือด “ฮาลาล”:
ULIL ABSHAR ABDALLA อดีตผู้ประสานงาน Jaringan Islam Liberal (JIL)
เครือข่ายอิสลามเสรี (The Liberal Islam Network) จาการ์ตา
JIL ถูกตั้งขึ้นในปี 2001 โดย Ulil Abshar Abdalla (เกิดปี 1967 ที่ปาติ ชวาตอนกลาง) และเพื่อน ขึ้นอยู่กับชุมชน Utan Kayu เพื่อสนับสนุนการพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ เกี่ยวกับมุสลิมที่ยึดมั่นกับวิธีการดั้งเดิม (orthodoxy) และเป็นกระบอกเสียงต่อต้านพวกหัวรุนแรงทางศาสนา ในหน้าเกริ่นนำบนเว็บไซท์ของเครือข่ายฯ ได้เขียนไว้ว่า “ในนามของพระเจ้า ผู้ทรงมีพระมหาเมตตาคุณ มหากรุณาธิคุณ และพระเจ้าของทุกศาสนา”
ในปี 2003 อุลลามาฝ่ายอนุรักษ์ ได้พิพากษาว่า เลือดของอุลลิลเป็น “ฮาลาล” เพราะเกิดความไม่พอใจต่อบทความที่ อุลลิล เขียนในหนังสือพิมพ์ คอมปาส (Kompas) ที่มีเนื้อหาประหนึ่งแถลงการณ์ขององค์กร สาธยายวิสัยทัศน์ของเขาถึงอิสลามสำหรับชาวอินโดนีเซีย
ต่อคนภายนอกบางคน อาจจะคล้อยตามสิ่งที่ อุลลิล ยกย่องว่ามีส่วนช่วยให้เขาเติบโตทางปัญญา เช่น วรรณกรรมปรัชญาและการเมือง และความรู้ความเห็นที่พรั่งพรูจากการเสวนาถกเถียงเรื่องอิสลามในอินโดนีเซีย ในทศวรรษ 1980 ที่นำโดยปัญญาชน เช่น Nurcholish Madjid ผู้ล่วงลับไปแล้ว และ อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย Abdurrahman Wahid หรือ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า Gus Dur
แต่ในเชิงจิตวิญญาณ อุลลิลก็เหมือนกับปัญญาชนมุสลิมอินโดนีเซียอื่นๆ มันเป็นความรู้สึกอึดอัดในใจต่อนิติทฤษฎีของมุสลิมที่เป็นอยู่ มันเป็นเหมือนหินลับมีดที่หมั่นฝนลับคำวิจารณ์ของ อุลลิล ต่อระบบให้แหลมคมยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็น ศันตรี หนุ่ม เขารู้สึกงุนงงต่อ “รายละเอียดและความเจนจัด” ของ usul-fiqh [รากฐานทางนิติศาสตร์] รวมทั้งการเอาอาหรับเป็นศูนย์กลาง ในประเด็นเช่น อาหาร การมีประจำเดือน และแม้แต่ทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐมุสลิม ที่บังคับให้ชาวยิว ชาวคริสเตียน และ ชาว Zoroastrian ต้องคาดเข็มขัดสีต่างๆ กัน
การแสวงหาคำตอบของเขาเป็นกระบวนการที่ค่อยๆ สั่งสม ถูกทำให้ซับซ้อนด้วยว่า การศึกษากฎหมายอิสลามในสถาบันอุดมศึกษาในกรุงจาการ์ตา ที่เขาได้รับทุนสนับสนุนเต็มที่จากรัฐบาลซาอุดิอารเบีย อุลลิลไม่ได้สอบผ่านเทววิทยาของเขา
สำหรับอุลลิล ลัทธิคลั่งศาสนาอิสลามคือจุดจบ “ผมรู้อย่างถ่องแท้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับอิสลาม ความคิดเหล่านั้น เรายอมรับไม่ได้ในมาตรฐานของเรา ในนอกอาณาจักรอาหรับ และในโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน” เขาแย้งว่า ประวัติศาสตร์ของอิสลามหัวรุนแรงทั้งหมดมีรากย้อนกลับไปเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับ ลัทธิวาฮาบิ (Wahabbism) ซึ่งเป็นสำนักคิดหนึ่งที่เชื่อมโยงกับซาอุดิอาระเบีย ที่มักจะผลักดันอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า เป็นการตีความที่เป็นของแท้ของอิสลาม “ลัทธิวาฮาบิ มีหลักการง่ายๆ ว่า–คุณต้องกลับไปหาคัมภีร์กุรอ่าน และซุนนาห์ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่พวกวาฮาบิ มักจะตีความศาสนาอย่างยึดติดกับอักขระ คุณต้องไว้เครา ศาสดาได้บอกไว้แล้ว และคุณต้องเดินตามท่าน เพื่อเป็นการแสดงความศรัทธาแก่กล้า”
อิสลาม เขาแย้งว่า ไม่ใช่เป็นศาสนาของอาหรับคนเดียว
บทเรียนประวัติศาสตร์
KIAI HAJI (KH) GHAZALI SAID
KH Ghazali (เกิดปี 1945 ณ เมือง Madura ชวาตะวันออก) ได้ก่อตั้ง Pesantren An-Nur ในปี 2000 สำหรับ ศันตรี ที่เข้าเรียนสถาบันอุดมศึกษาอิสลามใน ซูราบายา มีชั้นเรียนในระบบหลังตะวันขึ้น และมีการสวดมนตร์ตอนค่ำคืน ศันตรี ของเขามีตารางสอนที่ให้เวลาอิสระสำหรับการจับกลุ่มอภิปรายกันตามต้องการ
KH Ghazali ยกความดีความชอบ ให้กับการอบรมแบบคลาสสิก (แบบดั้งเดิม) ของเขา ไม่ใช่ความคิดการเมืองสมัยใหม่ ที่ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดสุกงอม มีทัศนะเปิดกว้าง และเข้าใจถึงความหลากหลาย (pluralism) ด้วยความเชี่ยวชาญในเรื่องประวัติศาสตร์อิสลาม เขาชี้ให้เห็นว่า จารีตของปัญญาชนมุสลิมยุคต้น มีความยืดหยุ่นและการปรับตัวสูง เขาทบทวนความจำของพวกเราว่า ในตอนเริ่มต้น “แนวคิดเรื่อง usul-fiqh ไม่มีตัวตน ต่อมา usul-fiqh ได้พัฒนาขึ้น เพราะเราไปมีปฏิสัมพัทธ์กับอารยธรรมและปรัชญาคลาสสิกตะวันตก นั่นคือสาเหตุที่ข้อบัญญัติวินัย ได้พัฒนาเป็นเคร่งครัดขึ้นอย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้” เขาเป็นนักวิจารณ์ลัทธิวาฮาบิที่แหลมคมอย่างธรรมชาติ
เขาเป็นผู้สนับสนุนการริเริ่มสวดมนตร์อย่างเปิดเผยในอินโดนีเซีย และปฏิเสธที่จะโจมตีฝ่ายอนุรักษ์ นิกาย Ahmadiyah เขาวิจารณ์ “ความปากว่าตาขยิบ” ของพวกมุสลิมอนุรักษ์ ว่าโอ้อวดอ้างนามของนักปราชญ์คลาสสิกมุสลิม โดยไม่รู้ว่านักปราชญ์เหล่านั้น หลายคนเป็นผู้รักเหตุผลและมีความเป็นธรรม หลักสูตรใน เปซานเตรน ของเขา ผสมผสาน อิสลามคลาสสิกศึกษา กับแนวคิดสังคมและปรัชญาสมัยใหม่ เขาได้จัดแม้กระทั่ง คอนเสิร์ต dangdut สำหรับโรงเรียนของเขา แต่แน่นอน ได้ลอกทิ้งส่วนที่ล่อแหลมในเรื่องเพศสัมพันธ์
แต่ภายใต้ความคิดทั้งปวงของเขา—KH Ghazali อ้างสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มาสนับสนุนความเห็นทางเทววิทยาของเขา การสวดมนตร์ในภาษาเปอร์เซีย ได้ถูกบุกเบิกตั้งแต่ศตวรรษที่สองของอิสลาม ความผิดพลาดของ อุลลามา ในอดีต คือ ห้ามการแปลคัมภีร์กุรอ่าน เป็นภาษาอื่น และการห้ามการเทศนาในวันศุกร์ เป็นภาษาอื่นนอกจากภาษาอาหรับ ความเชื่อที่ว่า คัมภีร์กุรอ่าน ถูกเปิดเผยในภาษาอาหรับประมาณ 50 ภาษาถิ่นนั้น เป็นการค้นพบโดย Ibnu Hasnun ชาวตูนีเซีย จากสำนัก Maliki ในศตวรรษที่ 3 ของอิสลาม โดยสรุป อิสลามเป็นประสบการณ์ที่มีความหลากหลาย และซับซ้อนมาตลอด
สำหรับเขา นิติทฤษฎีน้อยๆ ในคัมภีร์กุรอ่าน จะต้องเข้าใจว่า มันเป็นเพียงรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้ภาษาเทคนิคชุดหนึ่ง และไม่ใช่เป็นเป้าหมายเชิงทฤษฎี KH Ghazali แย้งว่า การตีความใหม่ถึงต้นตอของอิสลาม ไม่ใช่เรื่องใหม่ และทุกครั้งที่มีการอ้างว่าได้เกิดมีความเห็นเข้าใจลึกซึ้ง สมควรที่จะมีการพิสูจน์ตรวจสอบในที่สาธารณะ พอดิฉันถามเขาว่า แล้วเส้นแบ่งอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า “ตราบใดที่แต่ละคน สามารถแสดงความรับผิดชอบในเรื่องข้อเท็จจริงของตน ที่ประกอบความเห็นของตน ก็ไม่จำเป็นที่คนอื่นๆ จะต้องแสดงปฏิกิริยาพลุ่งพล่านต่อความคิดเห็นใดๆ”
คุณต้องการให้คำพิพากษาทางศาสนา (fatwa) สำหรับตัวคุณอย่างไร?
MUJTABA HAMDI AND ALAMSYAH M. JA’FAR
Syir’ah (นิตยสาร), จาการ์ตา
นิตยสาร Syir’ah ฉบับปฐมฤกษ์ วางตลาดเมื่อเดือนกันยายน 2001 ในกรุงจาการ์ตา อันเป็นผลงานของเครือข่ายหลวมๆ ของกลุ่มอภิปรายเรื่องอิสลาม สังคมวิทยาและวัฒนธรรม ริเริ่มโดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงจาการ์ตา ที่เรียนวิชาเอกต่างๆ ในภาควิชาอิสลามและอาหรับศึกษา ประเด็นห่วงใยหลักอันหนึ่งของพวกเขา คือ การสร้างความเข้าใจต่อแนวโน้มทางเทววิทยา ที่เป็นเชื้อให้เกิดลัทธิอิสลามหัวรุนแรง
Syir’ah นำโดย Alamsyah M. Jaafar (เกิดปี 1979 ณ Pulau Seribu จาการ์ตา) สำเร็จการศึกษาจาก State Islamic University of Jakarta (UNIJKT) และ Mujtaba Hamdi (เกิดปี 1978 ณ Nganjuk ชวาตะวันออก) ได้รับการศึกษาจากสถาบันเดียวกันกับอุลลิล วิชาเอกภาษาและวรรณคดีอาหรับ ที่ๆ เขาก็ได้ลิ้มรสลัทธิวาฮาบิ เป็นครั้งแรก ที่กล่าวโทษการปฏิบัติทางจิตวิญญาณของเขาตามจารีตปฏิบัติของครอบครัวที่ตกทอดมานาน เขาไม่จบการศึกษานั้น
นักศึกษานักคิดเหล่านี้ รวมตัวกันเป็นเครือข่ายกับ Desantara องค์กรที่อุทิศตัวเพื่อธำรงความหลากหลายของวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ซึ่งอนุมัติทุนสำหรับพิมพ์ Syir’ah ฉบับปฐมฤกษ์ 500 เล่ม งานเขียน บรรณาธิการ การวางรูปแบบของนิตยสาร และการแพร่กระจาย ล้วนเป็นงานอาสาสมัคร ฉบับกันยายน 2001 มีบทความเกี่ยวกับ ความรุนแรงและนักเผยแพร่ศาสนามุสลิม บทวิจารณ์สังคม และคอลัมน์ขำขัน เป็นต้น มีการนำนิตยสารหลายเล่มไปแจกด้วยมือให้แก่มัสยิดต่างๆ รอบกรุงจาการ์ตา
หลังจากนั้น 4 ปี Syir’ah ได้แตะทุกประเด็นร้อนที่มีการโต้แย้งในโลกมุสลิม—การกำหนดรูปแบบอย่างเป็นทางการของการแสดงออกถึงความศรัทธาเลื่อมใสต่อศาสนา (ธรรมจริยา) การเข้ารีต การแต่งงานข้ามศาสนา ผ้าคลุมร่างกายและผมของหญิงมุสลิม (Jilbab) ศิลปะ วัฒนธรรมท้องถิ่น การรักร่วมเพศ และการแปลงเพศ ดนตรีป๊อบ และแม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน ทีมงานของ Syir’ah มีคนทำงาน 14 คน และมีนักเขียนประจำประมาณ 4 คน
ทั้ง Alamsyah และ Mujtaba ยกความดีความชอบที่ช่วยให้ปัญญาของเขางอกเงยกับวรรณกรรมทางศาสนา ที่ส่งเสริมความหลากหลาย ขันติธรรม และการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thought) ต่อทฤษฎีต่างๆ ที่มีอยู่ พวกเขายังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา การเมือง และปรัชญา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พวกเขาเชื่อว่าภูมิปัญญาที่หนักแน่นของพวกเขาในจารีตคลาสสิก จะช่วยให้พวกเขาวิจารณ์และทบทวนทฤษฎีอิสลามที่มีอยู่ได้
สำหรับ Alamsyah “พวกเราคุ้นเคยกับความคิดเรื่องความเห็นที่ตกลงกันไม่ได้ พวกเราได้เรียนรู้ประตูอีกแบบหนึ่งในการดู” ในระบบของ เปซานเตรน พวกเขาต้องเข้าเรียน Bahthul Masail ชั้นเรียนที่จะทดสอบความสามารถของ ศันตรี ว่าสามารถจะอ้างเนื้อหาจากแบบเรียนคลาสสิก ในการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาทางศาสนาได้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับพวกเขาแล้ว fiqh เป็นความต่อเนื่องที่ปรับตัวได้ พวกเขาได้แสดงอุปมาอุปมัยไว้อย่างน่าสนใจ “คุณต้องการให้ ‘มัน’ เป็น ‘ฮาลาล’ หรือ ‘ฮาราม’? คำตอบของคุณอาจช่วยให้เราหา dalil [legal proof of religious precedence หลักฐานทางกฎหมายเพื่อจัดลำดับ/ฐานันดรทางศาสนา] ของคุณได้”
ถูกเทวดาสาป?
ALIFATUL DAROJATI KUSMANINGTYAS
Rahima จาการ์ตา
ราฮิมา ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2000 เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาและสารสนเทศเกี่ยวกับอิสลามและสิทธิสตรี โดยการนำเสนอประเด็นหล่านี้ ให้แก่ ชุมชน เปซานเตรน และผู้นำทางศาสนา นอกจากนี้ องค์กรยังมีรายการวิทยุ และพิมพ์เอกสารเพื่อให้การศึกษาแก่สาธารณชน
Alifatul (เกิดปี 1972 ณ ซูราการ์ตา ชวาตอนกลาง) เป็นผู้ประสานงานของราฮิมา ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นผลผลิตของครอบครัว เปซานเตรน แต่กลับมาลงเอยที่สำเร็จปริญญาโทสาขาสตรีศึกษา จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย (University of Indonesia ) ดังนั้น เธอจะบอกคุณถึงหลักการง่ายๆ บางประการ
การมีมากเมีย เป็นการละเมิดสิทธิสตรี อิสลามไม่ได้เข้ามาเพื่อส่งเสริมการมีมากเมีย แต่ต้องการจะกำจัดมัน ถ้าคุณพยายามที่จะชูประเด็นให้มีการยอมรับการมีมากเมียในสภาวะ “ฉุกเฉิน” ซึ่งเป็นประเด็นยอดนิยมของชายมุสลิม เธอจะถามคุณกลับว่า “ภาวะอะไร? ภาวะฉุกเฉินได้ถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองเสมอมา เพื่อสร้างความชอบธรรมที่สนองตอบความมักมากของผู้ชาย”
สิทธิในการเจริญพันธุ์ รวมถึงสิทธิที่จะปฏิเสธการร่วมสังวาสกับสามีของคุณ ถ้าคุณอ้างถึงจารีตประเพณีที่ว่าคุณจะต้องถูกเทวดาสาปแช่งยันสว่าง เมื่อคุณตอบว่า “ไม่” กับสามี เธอก็จะยิ้ม “สาปแช่งให้เป็นอะไร? เป็นกบหรือ? ผู้หญิงกี่คนแล้วที่ต้องสังเวยชีวิตระหว่างคลอด เพียงเพราะพวกเธอไม่สามารถตอบว่าไม่ ในการมีเพศสัมพันธ์ และลงท้ายก็ต้องตั้งท้องให้สามี?” เธอยืนยันว่า การมีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่ข้อผูกมัดสำหรับผู้หญิง อันที่จริง มันเป็นสิทธิของผู้หญิงที่จะขอหรือปฏิเสธ
ข้อสรุปของ Alifatul ไม่ใช่เป็นการอิงเรื่องจริงทางโลก แต่เป็นผลจากการทำงานอย่างหนักของ ราฮิมา เพื่อหาข้อพิสูจน์ว่า คัมภีร์กุรอ่าน มาจากการเปิดเผยของพระเจ้า ที่ยึดมั่นต่อการธำรงความยุติธรรมในโลกมนุษย์
ธรรมจริยาชั้นสอง:
ผู้หญิงเกาะอยู่ที่ขอบของความศรัทธา
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหาระบบศาสนาที่ ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงในทางปฏิบัติ สำหรับอิสลาม Kassim (1992) อธิบายว่า การเลือกปฏิบัติส่วนใหญ่มาจากการอ้าง hadith (จารีตที่ถูกอ้างว่ามาจากวจนะของศาสดาโมฮัมเหม็ด) แทนที่จะอิงกับคัมภีร์กุรอ่าน ในการวิวาทะเรื่องกฎหมายมุสลิมในกระแสหลัก ซึ่งเขาเห็นว่า hadith เป็นแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือนัก ดิฉันค่อนข้างจะเห็นด้วยกับความเห็นของ Kassim เนื่องจากใน hadith มีทุกอย่างที่ต้องการจะอ้างเพื่อกดขี่ผู้หญิง รวมทั้งการคาดหมายว่าผู้หญิงจะต้องกลายเป็นประชากรผีนรกถึงสามในสี่ของเมืองนรก
แม้ว่าศักยภาพของคัมภีร์กุรอ่านจะถูกลดทอนไปมาก ข้อความหลายบทในคัมภีร์ ก็ได้ถูกใช้เพื่อลิดรอนสิทธิของผู้หญิงในหลายๆ แง่มุม ด้วยการตีความอย่างมีอคติที่จงเกลียดจงชังต่อผู้หญิง ข้อความที่มีการโต้แย้งกันมากที่สุด คือ ข้อบัญญัติว่าด้วยความรับผิดชอบของผู้ชายที่ต้องเลี้ยงดูผู้หญิง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในคู่สมรส การมีมากเมีย คำแนะนำให้แต่งกายเรียบร้อย และการสวมใส่ jilbab สำหรับสตรีมุสลิมในยุคก่อน ในสมัยก่อน ผู้ชายที่ลวนลามผู้หญิงมักแก้ตัวว่า คิดว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อนั้นเป็นนางทาสหรือเป็นสมบัติตกทอด ความตกต่ำของผู้หญิงถูกตอกย้ำด้วยกฎหมายอิสลามที่ให้น้ำหนักกับคำให้การของผู้หญิงน้อยกว่าของผู้ชาย ถึงอย่างไร นักสตรีนิยมมุสลิมได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ข้อความเหล่านี้สามารถตีความใหม่ได้ในกรอบของความเท่าเทียมกัน และในหลายๆ กรณี พวกเธอยืนยันว่า คัมภีร์กุรอ่าน มีความชัดเจนในการสนับสนุนความเท่าเทียมระหว่างเพศ
การเผชิญหน้ากับความเลื่อมใสศรัทธา
NENG DARA AFFIAH
นักเขียน นักวิจัย และอาจารย์ ในกรุงจาการ์ตา
ในระหว่างที่ เนง ดารา (เกิดปี 1969 ณ Banten) เจริญเติบโตขึ้น เธอต้องกล้ำกลืนความไม่พอใจหลายอย่างต่อชีวิตใน เปซานเตรน ตามมารยาท แต่เมื่อเธอเริ่มเข้าเรียนที่ UINJKT เพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบได้ไม่นาน เธอก็ได้รู้จักกับวงอภิปรายของเพื่อนๆ นอกห้องเรียน และได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกเรื่องปรัชญา การวิเคราะห์ทางจิตวิทยา และสังคมวิทยา
ประสบการณ์นี้ได้นำพาให้เธอตั้งคำถามต่อความหมายของความศรัทธาของตนเอง เธอเริ่มตั้งคำถามถึงผลของการเป็นมุสลิม การเป็นลูกสาว และการเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในโลกของความรู้ที่มีชายเป็นใหญ่ เธอได้ลดหย่อนความเคร่งครัดต่อพิธีกรรมที่เธอถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กให้ปฏิบัติ เธอครุ่นคิดถึงการแยกขั้วของ Muslim-Kafir แบบคลาสสิก ในฐานะที่เธอเป็นหญิงมุสลิมคนหนึ่งที่สวม jilbab เธอเริ่มไม่แน่ใจในหน้าที่ของมัน—เธอรู้ว่า มันไม่ได้ช่วยให้เธอมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระเจ้ามากขึ้น มันไม่ใช่แม้กระทั่งผืนผ้าที่จะปกป้องคุ้มกันเธอได้
เนง แย้งว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุถึงภาวะจิตวิญญาณที่มีความหมายโดยปราศจากช่วงเวลาของความรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างเข้มข้นในเชิงเทววิทยา “ดิฉันได้แต่งตัวเต็มยศ แล้วดิฉันก็ต้องแก้ผ้าเปลือย เริ่มต้นกันใหม่อีกที” เป็นคำพูดของเธอ
ทุกวันนี้ เนง ยังคงคลุมผมของเธอในเวลาส่วนใหญ่ (“มันเป็นประเพณี และไม่ใช่หลักการทางศาสนา”) เธอยังคงสวดมนตร์ในเวลาส่วนใหญ่ สำหรับเธอ Kafir คือคนที่ตัดขาดจากสัจจะสากล เธอเป็นแฟนของ Eric Frohm, Jalaluddin Rumi, Rifat Hassan, Fazlur Rahman และ เหมือนทุกๆ คน เธอชอบ Gus Dur
เมื่อดิฉันถาม เนง ว่า เธอจัดการอย่างไรกับ hadith ซึ่งเกลียดชังผู้หญิงนัก ถึงกับตีความทั้งหลายแหล่ จนดูเหมือนจะไม่เปิดช่องอะไรให้ผู้หญิงเลย เนง ตอบว่า ถ้าการตีความใหม่ในกรอบสตรีนิยมเป็นไปไม่ได้ แหล่งเหล่านี้ควรถูกตั้งคำถาม “พระเจ้าเป็นแหล่งของความดีทั้งหมด ถ้าจารีตใดที่เอ่ยอ้างถึงพระองค์ แต่ไม่มีนัยให้เกิดความดีที่ยิ่งกว่านั้นแล้ว ก็หมายความว่า มันไม่ใช่พระองค์ที่เป็นผู้ตรัสออกมา”
ภรรยาคนย้ายถิ่น และคริสเตียนที่คลุมผม
SALMA SAFITRI RAHAYAAN ผู้อำนวยการระดับชาติ
Solidaritas Perempuan (SP)—Women’s Solidarity กรุงจาการ์ตา
ซาลมา เป็นผลจากการแต่งงานระหว่างพ่อมุสลิมที่เคร่งครัด ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจใน Moluccan และแม่จากปาปัวตะวันตก ผู้ได้เข้ารีตเป็นคาธอลิก ซาลมา (เกิดปี 1971 ณ Jayapura ปาปัวตะวันตก) เติบโตขึ้นท่ามกลางชนกลุ่มน้อยทางศาสนาใน Jayapura
หลังจากที่ได้ศึกษาวิชากฎหมาย ซาลมา ได้ทำงานร่วมกับทีมกฎหมายของ SP ซึ่งเชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือแก่แรงงานหญิงย้ายถิ่นชาวอินโดนีเซีย ก่อนที่จะเลื่อนขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการระดับชาติในปัจจุบัน งานนี้ได้เปิดโลกทัศน์ของเธอ—เบื้องหลังของอันตรายจากการถูกล่อลวงทางการเงิน และการถูกลวนลามทางเพศในต่างแดน แรงงานย้ายถิ่นหญิงเหล่านี้ ยังตกเป็นเหยื่อของระบบปิตาธิปไตยในศาสนาที่บ้าน ซาลมา สามารถจะเล่าได้เป็นฉากๆ “ด้วยความเข้าใจของตัวผู้หญิงเองว่า เธอจะต้องอุทิศตัวให้สามี—ทั้งทางกาย ทางจิตใจ และทางเพศ—ทั้งร่างกายและวิญญาณ พวกเธอเชื่อว่า สามีของเธอมีสิทธิ์ที่จะมีภรรยาคนที่สอง เพราะว่าเธอไม่สามารถอยู่รับใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศให้เขาได้”
บางครั้ง เงินทองที่พวกเธอส่งกลับบ้าน จะถูกใช้เพื่อจัดงานแต่งงานและตบแต่งเรือนหอใหม่ของสามี ถ้าผู้หญิงเหล่านี้เรียกร้องที่จะหย่า พวกเธอจะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด และบางครั้ง ยังต้องเสียค่าชดเชยให้แก่สามีด้วย
ซาลมา เสริมว่า มันไม่น่าเชื่อที่ Jilbab ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงความเลื่อมใสศรัทธาของหญิงมุสลิมในอินโดนีเซีย งานของเธอได้พาเธอไปถึงตะวันออกกลาง—ที่ซึ่งเธอได้เห็นกับตา ว่าผู้หญิงที่สวมเครื่องคลุมอย่างหนักแต่หัวจรดเท้า ก็เมาเหล้าได้ หรือยิ่งกว่านั้น ยังเข้าโบสถ์ได้ด้วย เธอเล่าอย่างติดตลกว่า ตัวเธอเองได้ตัดสินใจคลุมผมตัวเองเมื่ออายุ 21 “ดิฉันกลัวว่าจะต้องตกนรก...แต่แน่นอน หลังจากทำงานที่ SP แล้ว ดิฉันจึงรู้ว่า jilbab ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับนรกแม้สักนิด มันมีอยู่นานมาแล้ว ก่อนที่อิสลามจะมาถึง”
ทุกวันนี้ ผ้าคลุมผม ก็เป็นเพียงส่วนประกอบเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งของเธอเท่านั้น “มันไม่ใช่เพื่อปกปิดความเป็นผู้หญิง (aurat ส่วนของร่างกายที่ fiqh อิสลาม บังคับให้คลุมไว้) มันไม่ต่างอะไรกับกางเกงสีน้ำตาลตัวหนึ่ง หรือกิ๊บผมสีแดง เมื่อไรที่ไม่อยากใส่ หรือเมื่อผมเปียก ดิฉันก็ไม่ใส่ ผมของดิฉันมันหยิกหยองเหลือเกิน การคลุมผมก็ทำให้ดิฉันไม่ต้องแปรงผมมากจนเกินไปเท่านั้น”
ขบถทางจิตวิญญาณ
JULIA SURYAKUSUMA นักเขียนสตรีนิยมและนักกิจกรรม
Depok ชวาตะวันตก
จูเลีย (เกิดปี 1954 ณ กรุงเดลฮี อินเดีย) เป็นลูกสาวของนักการทูตกับแม่ศรีเรือน จากครอบครัว ปริยาหยี แห่งซุนดาน เธอได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กในยุโรป อินเดีย และอินโดนีเซีย เธอพูดถึงตัวเองว่า “ความจริงที่ดิฉันเป็นขบถ เพราะดิฉันถูกทำให้เป็นเช่นนั้น”
จูเลียเป็นนักเขียนสตรีนิยมที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของอินโดนีเซีย ผลงานของเธอคือ Sex, Power and Nation (กาม อำนาจ และชาติ) ซึ่งรวมงานเขียนของเธอในช่วง 24 ปี เธอได้ขึ้นปกนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งพาดหัวว่า “ฉันเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเมีย” ก็เพียงเพื่อสร้างความประหลาดใจให้ผู้อ่าน ด้วยคำบรรยายตัวเธอเองว่า เป็นผู้จงรักภักดี ผู้ปกป้องที่ดุดัน ในทำนองเดียวกันกับเทศกาลการเมืองเรื่องอิสรภาพ ซึ่งเธอเป็นผู้ร่วมจัดขึ้น เธอถูกเขียนภาพล้อเลียนว่านุ่งนิดห่มน้อยมาก จูเลีย เป็นผู้หญิงที่มีชีวิตที่ท้าทายว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องการเมือง พวกเขาขนานนามให้เธอว่า feminist fatale
การเติบโตในต่างแดน ย่อมหมายถึง การรอดพ้นจากเงื้อมมืออิสลามที่บ้าน พออายุได้ 14 จูเลียก็เป็นแฟนของลัทธิ existentialism (บทความ “นรกเป็นของคนอื่น”) และเป็นพวกปฏิเสธการมีพระเจ้า (บทความ “เครื่องทดสอบอันหนึ่งของการยอมรับพระเจ้า”) พอถึงกึ่งอายุ 20 เธอเริ่มฝักใฝ่ศึกษาจิตวิทยาสาขา Jung วิทยาศาสตร์คริสเตียน และพิธีกรรมมาตรฐานต่างๆ ของอิสลาม ด้วยความเป็นคนที่มีจิตวิญญาณอยู่ไม่สุข การแสวงหาเพื่อเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีวันสิ้นสุด ทุกวันนี้ เมื่ออายุได้ 50 เธอควรที่จะได้ลงสมัครตำแหน่ง “คนเมืองสมบูรณ์แบบ” ที่ได้ท่องไปทั่วโลกของโครงการแผ่อิทธิพลอิสลาม (Project Islamicisation) แต่จูเลียก็ไม่ประทับใจในโครงการนี้เลย
“มันเป็นเรื่องมือถือสาก ปากถือศีลทั้งนั้น” จูเลียตอกกลับ รูปแบบธรรมจริยาที่มุสลิมกำลังส่งเสริมเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกทางศาสนา ไม่เข้ากับความเข้าใจของเธอต่อเรื่องการมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี เนื่องจาก เจ้ามาตรฐานธรรมจริยานั้น ไม่ได้ทำให้เธอเห็นว่า มันมีประสิทธิภาพในการเชิญชวนให้ผู้คนทำตัวเหมาะสมต่อกันและกัน และแล้วในทศวรรษ 1980 ด้วยความพยายามที่จะศึกษาการเจริญภาวนาสมาธิ เธอก็ได้กลับมาถึงบ้านในที่สุด—โลกของวิญญาณ—ท่ามกลางกลุ่ม พราหมากุมารี (Brahma Kumaris) ที่รัฐราชสถาน ในอินเดีย
ทุกวันนี้ จูเลียจะนั่งทำภาวนาสมาธิทุกวัน เพื่อเชื่อมต่อ และเติมประจุพลังงานกับ “วิญญาณสูงสุด” เธอเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด กรรม และคาถาอาคม เธอกินแต่ผักสดผลไม้เป็นส่วนใหญ่ เธอออกนอกลู่ทางถึงขั้นส่งให้เด็กด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือ “ทุกสิ่งที่ดิฉันมีอยู่ ล้วนมาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ทุกแห่งหน ดิฉันไม่เคยหยุดเชื่อเช่นนี้”
บาปที่สร้างสรรค์:
การตามหาอย่างมีศิลปะ
ปัญหาที่อิสลามมีต่อศิลปะมีหลายแง่มุม อันหนึ่งคือ เรื่องเพศสัมพันธ์—ว่าด้วยการเผยส่วนของร่างกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งของผู้หญิง) และการอยู่ปนเประหว่างหญิงกับชาย ซึ่งจะนำไปสู่พฤติกรรม “ผิดศีลธรรม” Hadith บางข้อก็ตำหนิเครื่องดนตรีบางชนิด ภาพเขียน และประติมากรรม ที่ลอกเลียนรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต
ถึงอย่างไรก็ตาม ในอินโดนีเซีย ประเด็นนี้ถูกทำให้สับสนด้วยความจริงที่ว่า งานศิลปะและวรรณกรรมมากมายตั้งแต่สมัยก่อนอิสลาม ก็ยังคงได้รับการธำรงรักษาอยู่ ตำนานเหล่านี้ยังมีให้เห็นและจับต้องได้—นาฏศิลป์การแสดงและวรรณคดี ซึ่งถนอมสุนทรีย์ ลีลาภาษา คุณสมบัติ การบรรยาย และอุปกรณ์ทางวัฒนธรรม เช่น การเชิดหุ่น หน้ากาก เป็นต้น แต่สิ่งที่รบกวนมุสลิมส่วนใหญ่ คือตำนานทางจิตวิญญาณก่อนยุคอิสลาม ซึ่งซึมซาบอยู่ในงานศิลปะ และมักจะผนวกวิธีการ เช่น การกลับชาติ การใช้คาถาอาคม และการเข้าฌาน
ประเพณีที่ยังมีชีวิต
SITRAS ANJILIN & SLAMET GUNDONO
Magelang & Surakarta ชวาตอนกลาง
Sitras Anjilin (เกิดปี 1959 ณ Magelang ชวาตอนกลาง) เป็นหัวหน้ากลุ่มวัฒนธรรมในหมู่บ้าน Tutup Ngisor ที่ชายเขา เมราปิ (Merupi) ภูเขาไฟลูกหนึ่งของโลกที่ยังกรุ่นระอุที่สุด ซึ่งเป็นที่นับถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อของชาวชวา ภายใต้สิ่งแวดล้อมนี้ ชาวคาทอลิก และชาวมุสลิม อยู่ปนเปกันด้วยดีตั้งแต่เกิดจนถึงหลุมฝังศพ—ถ้าใครลองเสาะหาให้ดี ก็อาจเจอสุสานที่มีทั้งชื่อมุสลิม และคริสเตียนจารึกอยู่บนแผ่นหินของสุสาน
ความยึดมั่นอย่างเข้มข้นของชาวบ้าน Tutup Ngisor ต่อศิลปะและสิ่งลี้ลับดั้งเดิม ไม่ใช่ข้อยกเว้นในชวา แต่เป็นสิ่งแปลกประหลาดในระหว่างพวกเดียวกัน ตราบทุกวันนี้ ชาวบ้านก็ยังเคร่งครัดอยู่กับการจัดให้มีการแสดงสี่ครั้งทุกปี ที่พลับพลาชุมชน—เพื่อฉลองเทศกาล Eid—เทศกาลชาวมุสลิมหลังจากการอดอาหารหนึ่งเดือน Muludan—วันคล้ายวันสมภพของศาสดา Suran—วันปีใหม่ของชาวชวา และ Agustusan—วันประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้พัฒนาเครือข่ายที่เข้มแข็งกับสถาบันศิลปะในท้องถิ่น และนักแสดงร่วมสมัย พวกเขายังจัดพิธีประจำปี Merti Dusun—ซึ่งเป็นพิธีชำระล้างจิตวิญญาณของหมู่บ้าน ในพิธีนี้ มีการถวายสิ่งของ (sesaji) ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งน้ำ ในช่วงเดือนมุสลิม Jamadul Akhir ทุกๆ เย็นวันพฤหัส ซึ่งตามหลักจักรวาลวิทยาของมุสลิม ถือว่าเข้าวันศุกร์ อันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ตามประเพณีของมุสลิม ชาวบ้านจะเล่นเครื่องมโหรี gamelan
พ่อแม่ของพ่อ Sitras ได้อุทิศเวลากลางวันในการทำนา และในตอนเย็นในการทำงานศิลปะ เขาได้เรียนรู้การฟ้อนรำแบบดั้งเดิม นาฏศิลป์ และดนตรีต่างๆ ก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียน ซึ่งเขาได้เรียนอยู่สักพักที่นั่น เขาเป็นชาวนา นักฟ้อนรำ นักแสดง นักดนตรี รวมทั้งเป็นนักเชิดดาหลัง (dalang) และ คนเชิดหุ่นหนัง (wayang kulit)
พ่อ Sitras คงจะถูก Geertz และมุสลิมอื่นๆ จัดว่าเป็นมุสลิมแต่ชื่อ แต่พ่อ Sitras มีการสำเหนียกเรื่องปรัชญาเชิงจิตวิญญาณสูง ซึ่งเขาได้อุทิศตัวถ่ายทอดความศรัทธาออกมาในงานวัฒนธรรมและศิลปะของเขา สำหรับเขา การฟ้อนรำเป็นศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งสร้างความสุขพึงพอใจแก่ทั้งผู้ฟ้อนและผู้ชม และยังขัดเกลากิริยามารยาทของผู้เรียน มันเป็นวิธีการฝึกวินัยอบรมกล่อมเกลาของชาวชวา ที่เก่าแก่ ผ่านการพิสูจน์ตรวจสอบแล้ว—มันสอนคุณค่าของความอ่อนโยน นอบน้อมถ่อมตัว และความมีมารยาทแก่เด็กๆ
พ่อ Sitras มองว่าตนเองเป็นคนมุสลิม แต่เขาไม่สวดหรืออดอาหาร และเขาก็ไม่รู้สึกยุ่งใจ หรือเป็นปัญหาแก่เพื่อนบ้าน เขาไม่เชื่อว่า มีแต่ “มุสลิม” เท่านั้นที่จะบรรลุการหลุดพ้น “นี่เป็นเพียงกล่องทั้งนั้น เห็นไหม ศิลปะจะยัดใส่กล่องได้ยาก”
หัวใจของความห่วงใยทางจิตวิญญาณของเขาอยู่ที่ เพียงการมีกิริยามารยาทและเจตนาดี “ผมไม่ไปร่วมสวดที่มัสยิด เพราะสัญชาติญาณทางจิตวิญญาณ (naluri) ของผมไม่ได้อยู่ที่นั่น ความประพฤติดี ก็อาจมีอานิสงค์พอที่จะส่งให้คุณไปสวรรค์ได้เหมือนกัน” เขาย้ำ “ผมอาจไม่ได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับศาสนาที่มีอยู่ แต่ผมเป็นนักเรียนของ ความประพฤติดี (akhlak)”
ส่วนเรื่องความเร้นลับของการเข้าฌาน ไม่มีใครจะอธิบายประสบการณ์นี้ได้ดีไปกว่า Slamet Gundono ศิลปินเชิดดาหลังจาก Surakarta ผู้ได้รับการเคารพอย่างสูง
ในวัยเด็ก หนูน้อย Slamet (เกิดปี 1966 ณ Tegal ชวาตอนกลาง) ชอบคลุกคลีอยู่ในชุมชนมัสยิด ได้รับการศึกษาเล็กน้อยจาก เปซานเตรน และด้วยเสียงอันไพเราะของเขา ก็ได้พาให้เขาได้เข้าร่วมวงการแสดงวัฒนธรรมต่างๆ แต่เขาได้เรียนศิลปะการเชิดดาหลัง จากพี่ชายของเขา
สำหรับ Slamet อิสลามในชวา ได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจากมรดกเรื่องเวทย์มนตร์และความลี้ลับจากบรรพชน เขาชี้ให้เห็นว่า วรรณกรรมชวาและนิทานต่างๆ เต็มไปด้วยปรัชญาเชิงจิตวิญญาณเกี่ยวกับแก่นของความเลื่อมใสศรัทธาภายใน
“ผมเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่รู้และบอกได้ว่าการเข้าฌานไม่เกี่ยวอะไรกับ ‘ปีศาจ’ ผมมาจากครอบครัว sintren พวกเราทั้งหมดสามารถเข้าฌานได้... ฌาน เป็นความคิดเกี่ยวกับ ‘ที่ว่าง’ ถ้าความหนาแน่นในที่ว่างนี้มีความอัดแน่นสูง ภาวะตระหนักรู้ของคุณก็จะเปลี่ยน ถ้าคุณป่วย ไม่แข็งแรง อดอาหารนานเกินไป คุณก็สามารถเข้าสู่ภาวะฌานได้ ฌานมีหลายระดับ ที่สูงสุด ผมคิดว่าจะเกิดการเพ่งพิจารณา” พอดิฉันถามเรื่องโลกของวิญญาณ เขาเตือนดิฉันว่า “มันเป็นเรื่องนามธรรม” เขาบอกดิฉันว่า พวกเขามาจากโลกบุรพกาล (primordial world, dunia purbakala)
Slamet แย้งว่า พิธีกรรมทางศาสนาหลายอย่าง พัวพันอยู่กับการกดปุ่มใน ‘ที่ว่าง’ ในจิตสำนึกของเรา—ด้วยการสวดมนตร์หรืออดอาหาร คำชี้แจงของเขาอธิบายให้เราเห็นว่า พิธีกรรมในรูปแบบที่ดีเยี่ยม จะช่วยปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระได้ อันเป็นจุดหนึ่งที่เรามักจะมองข้าม
ความห่วงใยร่วมสมัย
อินโดนีเซีย—แหล่งบันเทิง หรือ แหล่งบรรลุธรรม
ทุกวันนี้ นักเขียนอินโดนีเซียร่วมสมัย ศิลปิน และนักแสดงหลายคน ต่างยังคงแสดงความเป็นอิสระ แยกตัวออกห่างจากระบบราชการศาสนา บุคคลเหล่านี้มักจะได้รับการศึกษาในสถาบันศิลปะอุดมศึกษาต่างๆ ในอินโดนีเซีย แต่ความลึกล้ำทางจิตวิญญาณของพวกเขา เป็นมรดกของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ซึ่งพวกเขาใช้ในการตีความหมายและแสดงความเห็นเรื่องการจำกัดอิสรภาพทางศาสนาผ่านงานศิลปะของพวกเขาอย่างช่ำชอง
Arahmaiani (เกิดปี 1961 ณ บันดุง ชวาตะวันตก) เป็นศิลปินที่ดีเยี่ยมคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับทั้งในงานศิลปะ การแสดง และกวี เธออาศัยอยู่ใน โย๊คจาการ์ตา สืบเชื้อสายมาจากครอบครัว อาหรับ-ซุนดาน เธอได้ซึมซับทั้งมาตรฐานจริยธรรม และจิตวิญญาณแบบซุนดาน ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เธอยอมรับว่า ในวัยเด็ก เธอเคยฝันที่จะเป็นศาสดา แต่ในวัยรุ่น เธอหยุดการสวดมนตร์ พ่อของเธอที่เคร่งศาสนาแต่ใจกว้าง ได้พยายามชักจูงให้เธอหวนกลับเข้าสู่ทางที่ปลอดภัย แต่เธอกลับตั้งคำถาม “ทำไมเราจะต้องอยู่ในหนทางที่ปลอดภัย ปลอดภัย อยู่ตลอดเวลา? ลูกต้องการจะลองทางอื่นมั่ง” Arahmaiani ได้เข้าร่วมกิจกรรมนักศึกษา และเคยถูกจับให้กักบริเวณในบ้าน ภายหลัง เธอได้กลายเป็นศิลปินและนักแสดง ได้สร้างผลงานที่สื่อสารเรื่องเจนเดอร์ และรายละเอียดเชิงศาสนา ในการเดินทางแสดงผลงานของเธอทั่วโลก เธอได้เชื้อเชิญให้ผู้ชม เขียนอะไรก็ได้ลงบนส่วนต่างๆ ของร่างกายของเธอ เธอใช้ศิลปะคัดลายมือภาษาอาหรับ โคคา-โคลา และถุงยางอนามัย ในการประดิษฐ์งานศิลปะของเธอ แม้จะเกิดความคิดต่อต้าน แต่เธอก็ยังปฏิเสธที่จะไม่เรียกตัวเองว่าเป็นคนมุสลิม เพราะ สำหรับเธอ นั่นจะเป็นทางออกที่ง่ายเกินไป
ในทำนองเดียวกัน Budi S. Otong (เกิดปี 1962 ณ บันดุง ชวาตะวันตก) เป็นนักการละครอินโดนีเซียประเภทแหกคอก ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่สวิส เขาเป็นคนที่มีความเป็นอิสระอย่างดุเดือดที่ต่อต้านความเชื่อใดๆ ที่มีรูปแบบลักษณะโครงสร้าง “สำหรับผม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การแสวงหาความเลื่อมใสศรัทธาภายนอกสถาบันศาสนา...ผมจินตนาการว่า พระเยซูเป็นผู้เดินประท้วงคนหนึ่งในเมืองเยรูซาเล็ม” ทุกวันนี้ เขาไม่ได้ขึ้นเวทีแสดงบ่อยนัก เขาได้อุทานว่า เขากำลังรอความตาย “ความตายเป็นงานอย่างหนึ่งที่ต้องใช้แรงงานจริงๆ เป็นกรอบแนวคิดและระบบที่ต่างออกไป เป็นความเป็นไปได้ของการเดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง ผมยังเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ใช่เป็นใครคนหนึ่งอย่างที่ศาสนาต้องการให้เราเห็น”
นักเขียนการ์ตูน Bambang Toko Witjaksono (เกิดปี 1973 ณ โย๊คจาการ์ตา) เป็นอาจารย์ศิลปะฝีมือดี ที่มาจากครอบครัวที่มีปู่ย่า-ตายาย เป็นชาวมุสลิม แต่พ่อแม่เป็นชาวคริสต์ เขาใช้ศิลปะและอารมณ์ขัน ในการก่อกบฏต่อต้านความเกลียดกลัวที่กระพือโดยพวกเคร่งศาสนา เมื่อยังเป็นเด็ก บัมบัง และพี่ชาย ได้อาสาที่จะไปเข้าชั้นเรียนอิสลาม และก็ลงเอยกลับเป็น “มุสลิม” โดยไม่มีพิธีการเข้ารีตอย่างเป็นทางการ ถ้า บัมบัง เกิดในประเทศอื่นที่มีมุสลิมเป็นชนกลุ่มใหญ่ เขาคงถูกคำพิพากษาทางศาสนาให้ลงโทษถึงแก่ชีวิต (death fatwa) ในฐานะที่เขียนการ์ตูนตลกโบกฮาที่มีตัวละครยอดวีรบุรุษเป็นหมู ชื่อว่า Abu Thoyib
หนึ่งในนักประพันธ์ยอดเยี่ยมของอินโดนีเซีย คือ Ahmad Tohari (เกิดปี 1948 ณ Banyumas ชวาตอนกลาง) เขาโตมาในครอบครัว เปซานเตรน และศาสนาก็ยังเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในชีวิตของเขา เขายังคงปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามแบบดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด แต่บทประพันธ์ของเขา ก็ยังตั้งคำถามต่อการสยบรับคำสอนศาสนาอย่างตาบอดงมงาย เขาเป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรมคลาสสิก Ronggeng Dukuh Paruk ซึ่งเป็นพงศาวดารชีวประวัติของ Srintil และงานศิลปะของเธอ—รองแง็ง—ซึ่งเป็นหนึ่งในการฟ้อนรำแบบดั้งเดิมที่กระตุ้นความกำหนัด รวมทั้งชีวิตภายหลังที่เธอเข้าไปมีบทบาททางการเมืองในเวลาต่อมา พ่อ Tohari ผู้เรียกตัวเองว่าเป็นนักสตรีนิยม ได้ปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใดๆ ที่จะพิพากษาความประพฤติทางศีลธรรมของผู้ใดในนิยายเรื่องนี้ สำหรับเขา พิธีกรรมเป็นเพียงพื้นฐานทางเลือกต่างๆ ไม่ใช่เป้าหมาย เขาเล็งเห็นถึงอันตรายของการยึดมั่นถือมั่นในศาสนาที่เป็นทางการจนเกินไป และเห็นว่า อิสลามเป็น คำวิเศษณ์ มากกว่าเป็น คำนาม ดิฉันจึงถามเขาว่า แล้ว “kafir” อย่างที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เข้าใจ จะหลุดพ้นได้ไหม เขาตอบว่า มันไม่มีทางที่จะหาคำตอบได้
นักแสดงคนอื่นๆ เช่น Wenti Nuryanti (เกิดปี 1966 ณ Muntilan ชวาตอนกลาง) เป็นอาจารย์สอนรำ ยอมรับว่าอิสลามและงานศิลปะของเธอมีความขัดแย้งกันอยู่ เวนติยังคงปฏิบัติตามพิธีกรรมอิสลามแบบดั้งเดิมหลายประการอยู่ เธอกล่าวว่า ผู้หญิงมุสลิมอาจจะปกคลุมร่างกายของพวกเธอมิดชิด แต่ “เครื่องแต่งกายประจำชวาเดิมของผู้หญิง คือ kemben” เธอยังคงตั้งคำถามต่อต้นตอของการปกคลุมร่างกาย และก็ปล่อยให้มันเป็นคำถามเปิด แต่สำหรับเธอ ตราบเท่าที่ “ฉันทะที่มีต่องานศิลปะยังแรงอยู่” เธอจะยังคงทำงานเป็นนักศิลปินต่อไป “สิ่งสำคัญคือ เจตนาในหัวใจของดิฉัน ตราบเท่าที่เราไม่ทำอะไรเกินไป มีอะไรเสียหายเล่า? ถ้าเราใช้ธูป ดอกไม้ sesaji และ กำยานด้วยดี วัฒนธรรมชวาเต็มไปด้วยสัญลักษณ์”
นักเต้นรำร่วมสมัย Sherly Novalinda (เกิด 1982 ณ Kerinci Jambi) ปัจจุบัน อาศัยอยู่ในจังหวัดที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม ในสุมาตราตะวันตก ก็มีส่วนร่วมในการพิเคราะห์ใคร่ครวญแนวเทววิทยาด้านนี้ เชอร์ลี เริ่มคลุมผ้า jilbab เมื่ออายุ 17 ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกศึกษาการเต้นรำ ทุกวันนี้ เธอเลือกที่จะไม่แต่งตัวเช่นนั้นในขณะขึ้นเวทีแสดง “เวลาดิฉันเต้นรำ ดิฉันปลด jilbab ออก เพราะว่าดิฉันไม่ได้เป็นตัวของตัวเองในขณะนั้น ดิฉันได้กลายเป็นคนอื่น ตัวละครที่ดิฉันกำลังแสดงอยู่” เธอเชื่อว่า “สำหรับคนที่มีความซาบซึ้งในงานศิลปะ พวกเขาย่อมจะเข้าใจถึงการตัดสินใจเช่นนี้อย่างแน่นอน” ส่วนข้อจำกัดมากมาย ที่ไม่ให้เผยส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้หญิงนั้น เชอร์ลี ไม่ได้ติดใจนัก เธอประเมินผลทางศีลธรรมจากการกระทำของตัวเธอเองแค่ว่า มันทำให้ใครเสียหายหรือเปล่า
เพศและจิตวิญญาณ
อัตลักษณ์หนึ่งที่ถูกเบียดให้อยู่ชายขอบที่สุดในชีวิตศาสนา คือ กลุ่มที่มีอัตลักษณ์ และวิถีทางเพศ ที่เย้ยหยันกฎ/ศีลของการรักเพศตรงข้าม (heterosexual precepts) ที่บัญญัติว่ามีเพียงสองค่ายที่ “ตรงกันข้ามกัน” ในระหว่างความเป็นหญิงและความเป็นชาย ในความเชื่อที่เคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายอับราฮัม มีแต่ประสบการณ์เพศสัมพันธ์ระหว่างสองเพศ คือ ชายกับหญิงเท่านั้น แต่ตอนนี้ เรามีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย เกี่ยวกับประสบการณ์ทางเพศแบบต่างๆ นอกเหนือจากสองเพศตรงกันข้าม เพศวิถีมีอยู่ มีลักษณะลื่นไหลอย่างต่อเนื่อง (ตามกาลเวลา) ในร่างกาย อารมณ์ และจิตใจของเรา ทั้งหมดนี้มีบทบาทซับซ้อนในการสื่ออัตลักษณ์และความฝักใฝ่ทางเพศของเรา
การเป็นเกย์ การเป็นคนดี
Gaya Nusantara เป็นองค์กรเกย์และเลสเบี้ยนที่มีความโดดเด่นมากที่สุดในอินโดนีเซีย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มนักกิจกรรมเกย์ ทุกวันนี้ Gaya ทำงานวิจัยและจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเพศวิถี สุขภาพทางเพศ และสิทธิของเกย์ และสิทธิของคนทำงานบริการทางเพศ มีการถ่ายทอดหัวข้อเหล่านี้ผ่านรายการวิทยุ จัดกิจกรรมสาธารณะ และให้บริการคำปรึกษาที่สำนักงานองค์กร มีการจัดชุมนุมที่เป็นมิตรต่อชาวเกย์ และตีพิมพ์นิตยสารของตนเอง
รองผู้จัดการและเลขาของ Gaya ต่างก็เป็นชาวมุสลิม แต่ทั้งสองยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่จากครอบครัวของตนเอง ทั้งสองตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันในระยะยาว เราคุยกันถึงนัยความเกี่ยวพันของเพศวิถีที่เขาได้เลือกแล้ว ต่อความเชื่อทางจิตวิญญาณของเขา คำตอบคือ ประการแรก พวกเขาไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเป็นเกย์และศรัทธาความเชื่อของเขา ประการที่สอง พวกเขาขอให้พวกเราทบทวนพิจารณาบริบทของบางข้อความในคัมภีร์กุรอ่าน ที่แตะเรื่องรักร่วมเพศเพียงเล็กน้อย พวกเขาตีความว่า อาจเป็นไปได้ที่ชุมชนที่หมกมุ่นในพฤติกรรมรักร่วมเพศ ที่ถูกวิจารณ์ในคัมภีร์กุรอ่านนั้น ถูกตำหนิลงโทษเพราะความโอหัง เจ้าเล่ห์ และการที่พวกเขาข่มเหงสาวกของศาสดา มากกว่าเพียงเพราะว่าพวกเขา “เป็นเกย์”
สำหรับปัจเจกบุคคลเหล่านี้ การแสดงออกถึงความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนา (ธรรมจริยา) ไม่ใช่สิทธิพิเศษที่สำรองไว้สำหรับพวกรักเพศตรงข้ามเท่านั้น
ถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเมื่อเร็วๆ นี้?
“ZARIFF” คนแปลงเพศ จากหญิงสู่ชาย
โย๊คจาการ์ตา
“Zariff” (เกิดปี 1971 ณ Surakarta ชวาตอนกลาง) เติบโตขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลางของ อุลลามา ที่ผู้คนเคารพ ในซูราการ์ตา ชวาตอนกลาง และตอนนี้เขาเป็นนักจิตวิทยาอิสระ ที่ให้คำปรึกษาอยู่ใน โย๊คจาการ์ตา ความเชื่อมั่นของ Zariff ในเรื่องอัตลักษณ์ทางเจนเดอร์/เพศสภาพ เป็นเรื่องผสมผสานระหว่างความเห็นทางศาสนาและวิทยาศาสตร์ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับสภาวะของตนเป็นเวลาหลายปี Zariff เล่าว่า หนังสือเรื่อง “เราไม่ใช่ผู้ชาย” (Kami Bukan Laki-Laki) ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างไร หนังสือเล่มนี้ ได้อ้างคำแนะนำของ อุลลมา ชาวอินโดนีเซีย Hamka ผู้เป็นที่เคารพนับถือและล่วงลับไปแล้ว ที่กล่าวว่า ในขณะที่ความคิดเห็นทางศาสนาควรจะยึดมั่นในคัมภีร์กุรอ่าน และ hadith แต่ก็ยังมีที่ว่างมากพอสำหรับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องอิสลาม ดังนั้น สำหรับประเด็นคำถามเชิงเทววิทยาที่หาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ แต่อาจจะได้ประโยชน์จากการฟังความเห็นของคนนอกวงเทววิทยาได้ ก็ควรหาคำอธิบายดังกล่าวจากผู้เชี่ยวชาญ “ในกรณีของผม จะต้องปรึกษานักจิตวิทยาและแพทย์” เขาสรุป ดังนั้น ถ้าผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า ภาวะของเขาเป็นเรื่องธรรมชาติ และอนุญาตให้เขาแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่เขาต้องการได้ จะทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น และช่วยให้เขาเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ความคิดเห็นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ควรจะยอมรับกัน Zariff วางแผนที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศเร็วๆ นี้ เขาเห็นว่า การตีความศาสนาแบบดั้งเดิม ต่อมิติเจนเดอร์ นักการศาสนาขาดความรู้ด้านชีววิทยาและจิตวิทยาโดยสิ้นเชิง
ทุกวันนี้ Zariff มีความมั่นใจที่จะเข้าร่วมพิธีสวดหมู่ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นพันธกิจดั้งเดิมสำหรับชายมุสลิม เขาปฏิบัติพิธีกรรมศาสนาแบบดั้งเดิมทุกประการ เหมือนชายมุสลิมอื่นๆ และยึดถือข้อระเบียบของศาสนาแบบเดิม ว่าด้วยเรื่องเพศ และเชื่อว่า เขาควรจะได้รับอนุญาตให้แต่งงานได้กับหญิงที่เขาเลือกหลังจากผ่าตัดแล้ว
เมื่อมุสลิมโจมตี jilbab
SHUNIYYA RUHAMA HABIIBALLAH คนแปลงเพศ จากชายสู่หญิง
นักประพันธ์ โย๊คจาการ์ตา
Shuniyya (เกิดปี 1982 ณ Kendal ชวาตอนกลาง) ก็เติบโตมาในแวดวงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของศาสนา และก็ยังเป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนาเหมือนเดิมจวบจนทุกวันนี้ แต่โดยธรรมชาติ เธอเป็นคนที่มีสัญชาติญาณและความคิดลึกซึ้งมาก เธอไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรืออ้างข้อบัญญัติในศาสนาแบบดั้งเดิม เพื่อสนับสนุนความเห็นของเธอ
ด้วยเหตุนี้ แม้คนรอบข้างจะไม่สนับสนุนอัตลักษณ์ข้ามเพศของเธอ Shuniyya ก็ปักใจเสมอว่าเธอเป็นเพศหญิง ตั้งแต่อายุยังน้อย การผสมผสานระหว่างความศรัทธาและสามัญสำนึก ได้ช่วยให้ลดความขัดแย้งในจิตใจของเธอ—มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะไม่มีเหตุผลอย่างนี้ ที่จะลงโทษเธอด้วยสภาวะทางชีวภาพ ที่เธอไม่สามารถควบคุมได้
Shuniyya สวดมนตร์ เหมือนหญิงมุสลิมคนหนึ่ง รวมทั้งเริ่มสวม jilbab ครั้งหนึ่ง เมื่อเธอเชื่อว่า มันเป็นข้อบังคับสำหรับหญิงมุสลิม พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้เธอเกือบถูกทำร้ายโดยนักศึกษาที่เคร่งศาสนาจัดในมหาวิทยาลัย Shuniyya เป็นผู้ใหญ่ และมีความมั่นใจเกินวัยของเธอ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้พิมพ์หนังสือเล่มแรก ที่ เล่าชีวิตของการเป็นคนมุสลิมข้ามเพศ “จะไม่ยอมปล่อยให้ jilbab ของฉันหลุดไป” (Jangan Lepas Jilbabku)
จารีตประเพณีท้องถิ่น
ไม่ทันสมัย ไม่ตามตะวันตก ไม่เป็นมุสลิม?
ปรากฏการณ์เชิงเทววิทยาหนึ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลกมุสลิมทุกวันนี้ คือ ปฏิกิริยาลบที่แสดงออกเหมือนๆ กัน—ทั้งค่ายหัวสมัยใหม่ และค่ายหัวรุนแรงเคร่งศาสนา—ต่อจารีตประเพณีพื้นเมืองต่างๆ ที่ ทำให้ผู้คนหวนรำลึกถึงอิทธิพลจากยุคก่อนอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่มีแหล่งกำเนิดนอกดินแดนอาหรับ
ด้วยการจัดลำดับให้อิสลาม เป็นระบบที่มีเหตุมีผล พวกหัวสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่จะมองข้ามศักยภาพของอิสลามในเรื่องลี้ลับ แต่ความคิดแบบยึดโครงสร้างนี้ จะกลายเป็นความรู้สึกเกรี้ยวกราด และประณามว่า เป็นวัตรปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ “ไม่มีเหตุผล” โดยไม่คิดจะพิจารณาดูบริบทของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีปฏิบัติที่ยังคงรักษาองค์ประกอบเชิงจิตวิญญาณความเชื่อ เช่น เวทย์มนตร์ของขลังและคาถาอาคมซึ่งมีอยู่มาก่อนอิสลาม โดยที่สิ่งเหล่านี้อาจจะเชื่อม หรือไม่เชื่อมต่อกับบูรณาการล่าสุดของอิสลามก็ได้ สำหรับพวกเคร่งศาสนา วัฒนธรรมดังกล่าว มันเป็นของนอกรีต ของแปลกปลอมอยู่นอกจารีตอิสลาม พวกเขามองไม่เห็นว่า วัตรปฏิบัติหลายอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นหัวใจของการแสดงความศรัทธาในอิสลาม ที่แท้จริงก็ได้ซึมซับจากวัฒนธรรมอาหรับก่อนยุคมุสลิมเหมือนกัน เช่น การจาริกแสวงบุญ และอื่นๆ
ในบัดดล ฝ่ายตรงข้ามของพวกหัวสมัยใหม่ คือ มุสลิมที่ไม่เคร่งครัด และของพวกหัวเคร่งครัด ก็คือ มุสลิมที่ไม่ฝักใฝ่ตะวันตก และไม่ทันสมัย
สุขสันต์วันเกิด โมฮัมเหม็ดที่รัก!
SEKATEN โย๊คจาการ์ตา
ใน โย๊คจาการ์ตา การเฉลิมฉลองวันสมภพของโมฮัมเหม็ด อย่างเอิกเกริกเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถูกจัดขึ้นในความอุปถัมภ์ของราชสำนัก งานนี้เรียกว่า Sekatan กล่าวกันว่าเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำอาหรับ shahadatain หมายถึง “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลาห์”
มีพิธีการสรงน้ำและเปิดให้ชม วงมโหรี gamelan และกริช อันเป็นมรดกตกทอดของราชวงศ์ ผู้เข้าทรงประจำราชสำนัก ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและควันธูป จะออกมาต้อนรับผู้คนนับร้อยที่นำ sesaji มาถวายและขอพร
ในคืนแรกของพิธี น้องชายของสุลต่าน จะออกมาขว้างตะกร้าที่เต็มไปด้วยเหรียญสตางค์ ใส่ฝูงชนที่ยินดีเบียดเสียดแย่งกันไขว่คว้า แล้ว เครื่องมโหรี gamelan ก็จะถูกเคลื่อนออกจากพระราชวัง ท่ามกลางขบวนแห่ที่สวยงามในยามเที่ยงคืน ไปสู่ สองอาคารในมัสยิดหลวง เพื่อบรรเลงอยู่ 2-3 วันๆ ละหลายๆ รอบสำหรับสาธารณชน จากนั้น จึงเคลื่อนกลับเข้าพระราชวังตามเดิม ในคืนสุดท้าย สุลต่านจะออกมานั่งเป็นประธานฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของโมฮัมเหม็ด แล้วก็ขว้างตะกร้าเหรียญสตางค์ใส่ฝูงชนเช่นเดียวกัน ในวันสุดท้ายของงานเฉลิมฉลอง ก็จะมีขบวนแห่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง จากพระราชวังถึงมัสยิด เพื่อเคลื่อน gunungan 5 (เป็นของถวายซึ่งร่วมก่อให้เป็นกองโตเหมือนภูเขาที่ทำจากข้าว ผัก ขนม และอาหารต่างๆ) อันเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความขอบคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภายในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาที gunungan ก็จะหายวับไป โดยผู้ร่วมงานต่างจะแย่งฉกชิงกันอย่างไม่มีใครยอมใครง่ายๆ
เบื้องหลังงานฉลองวันสมภพของโมฮัมเหม็ดใน โย๊คจาการ์ตา คือ ความคิดเรื่อง berakah หรือ การกระจายพรจากสิ่งพึงสักการะ ในที่นี้คือ จากพระราชวังของสุลต่านสู่สาธารณชน ในรูปสิ่งของ เช่น gunungan และเหรียญสตางค์ ซึ่งประชาชนจะผลักและดันกันอุตลุด เพื่อแย่งชิงไขว่คว้าให้ได้สิ่งมงคลเหล่านี้ และ วงมโหรี gamelan ซึ่งฝูงชนจะนั่งฟังกันอย่างสนุกสนาน Sekaten จึงเป็นวิธีการสำคัญที่ราชวงศ์มาตาราม ซึ่งอ้างตนว่าเป็นทายาทโดยตรงจากอาณาจักรฮินดู-มาจาปาหิต (Majapahit) ใช้ทำการแปลงชาวชวาให้เป็นอิสลามทางวัฒนธรรม และธำรงอิทธิพลของวัฒนธรรมโบราณจนถึงปัจจุบัน
ลิปสติก แป้งผัดหน้า และการสวดมนตร์
ชุมชน BISSU
Pangkep, South Sulawesi
บิซซู เป็นชุมชนทรงเจ้าดั้งเดิมของชาวมุสลิมบูกิส (Bugis) สิ่งที่แสดงถึงความขัดแย้งต่อมุสลิมกระแสหลักที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องคาถาอาคม และอุปกรณ์เหนือธรรมชาติอื่นๆ ของพวกเขา ที่มีมานานก่อนที่พวกเขาจะเข้ารีตมานับถืออิสลาม แต่คือ บิซซูส่วนใหญ่เป็นคนข้ามเพศ ทุกวันนี้ ในชนบทที่ล้อมรอบเมือง Makassar ชาวบิซซู ยังได้รับความเคารพนับถือ และได้รับเชิญให้ไปเป็นประธานในพิธีกรรมต่างๆ ของชาวบูกิสหรือมุสลิม ตั้งแต่การรักษาโรคและการทำนายชี้นำ รวมทั้งงานเลี้ยงชุมชน ที่ฉลองการออกจาริกแสวงบุญ Hajj ก่อนออกเดินทางไปเมืองเมกกะ
Halilintar (2004) อธิบายว่า ชาวบิซซู เริ่มแรกเป็นที่ปรึกษาทางวัฒนธรรมของราชสำนักบูกิส และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างโลกของความเป็นจริงปัจจุบัน กับห้วงจักรวาลอันศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้า บทสวดมนตร์ของพวกเขาเป็นภาษาเทวดา ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเทวดาเป็นผู้สอนให้
Puang Matowa Saidi (เกิดปี 1958 ณ Pangkep ซูลาเวสี ตอนไต้) เป็นหัวหน้าของชาวบิซซู ใน Pangkep อธิบายว่า คนบิซซูมีชีวิตอยู่ที่เส้นแบ่งระหว่างหญิงและชาย และนี่เป็นพรสวรรค์จากพระเจ้า เขาบอกดิฉันว่า แรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้มาจาก ‘ปีศาจ’ อย่างที่ชาวมุสลิมเมืองผู้สงสัยไปเสียทุกอย่างกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ได้กล่าวหาพวกเขา “ถ้าข้อมูลใด ใช้ได้กับความเป็นจริง มันย่อมมาจากที่นั่นไม่ได้” พอดิฉันถามเขาว่า เขาได้เห็นความอยู่ร่วมกันไม่ได้ระหว่างจารีตของเขากับอิสลามไหม เขาตอบง่ายๆ ว่า “คนพวกนี้ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม”
ด้วยอานิสงค์จากวัฒนธรรมนี้ ชุมชนนี้จึงมีขันติธรรมสูงต่อคนที่ข้ามเพศจากชายสู่หญิง และคนเหล่านี้หลายคนก็ทำตัวเปิดเผยว่าเป็นผู้หญิง—ตั้งแต่การแต่งกาย เกี้ยวพาราสีกับผู้ชาย ที่ดูเหมือนจะไม่ถือสาว่าถูกคนเหล่านี้ลบหลู่ด้วยการให้ท่าว่าจะเอาเขาเป็นคู่รัก หรือต้องการจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรม
กาม คาถา และตัณหา
ชาวมาเลย์แห่งหมู่บ้านเบตุง (Betung)
Pelalawan, Riau สุมาตรา
ชาวมาเลย์จากหมู่บ้านเบตุง ของเกาะเปลาลาวัน ซึ่งบางครั้งจะถูกเรียกว่า ชาวมาเลย์เปตาลางัน มีความเชี่ยวชาญในการใช้คาถาอาคมด้วยปากเปล่า แต่บางครั้ง ก็จะผสมกับสื่ออื่น เช่น น้ำ น้ำมัน และผลไม้ ครอบครัวส่วนใหญ่จะมีชุดคาถาประจำตระกูลของตน
ดิฉันได้พุ่งความสนใจไปที่การใช้มนตร์มหาเสน่ห์โดยผู้หญิงในหมู่บ้าน เนื่องจากเรื่องนี้แหละ ที่พิธีกรรมเหล่านี้ถูกตำหนิว่าเป็นของนอกรีต ว่าเป็นอุบายสกปรกที่ผู้หญิงเจ้าเล่ห์ จะใช้เพื่อการชิงรักหักสวาท คาถาเหล่านี้มีตั้งแต่บทที่จะทำให้คนๆ หนึ่ง ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล เป็นการ “เปิด” ราคะของฝ่ายหญิง เพื่อ “ปลดล็อค” ให้สามีเกิดกามตัณหาต่อภรรยาของตน ชุดคาถาอาคมเฉพาะเหล่านี้ เต็มไปด้วยคำเกี่ยวกับการสังวาส จึงเป็นที่รู้จักกันว่า Monto Cabul หรือ คาถาลามก
ดิฉันได้คุยกับแม่มิโน ผู้มีอายุกว่า 70 ปี และครอบครัวของเธอถึงความเกี่ยวพันเชิงเทววิทยาของกิจกรรมเหล่านี้ว่า การใช้คาถาอาคมเป็น syirik (ยกสิ่งอื่นขึ้นเทียมพระเจ้า) อย่างไร แม่มิโนและครอบครัวเปรียบเทียบการร่ายคาถาอาคมว่าเป็นวิธีหนึ่งของการสวดมนตร์ และก็ไม่เห็นว่าพฤติกรรมดังนี้จะเป็นบาปที่ตรงไหน แม้กระทั่งการใช้คาถาเพื่อเพิ่มโอกาสให้มีคนมารักใคร่ ก็เป็นเพียงวิธีการอันหนึ่ง และการใช้อาคมก็ดีกว่าการใช้เครื่องสำอาง หรือเสื้อผ้าที่ช่วยทำให้ตัวเองดูสวยงามขึ้น เพราะว่า ไม่เหมือนพวกของนอกกายเหล่านั้น “มนตร์เสน่ห์จะอยู่ติดตัวคุณตลอดไป แม้ว่าคุณจะเปลื้องผ้าออกหมดแล้วก็ตาม”
พ่ออาลม สามีของเธอ ย้ำว่า อันที่จริง เวทย์มนตร์ที่ใส่คำทางศาสนาและเอ่ยนามของศาสดา เทวดา และพระเจ้า ก็กลายเป็นการสวดมนตร์ธรรมดา ส่วนการที่คาถาอาคมหนึ่งๆ จะมีผลหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกนั่นแหละ พวกเขาย้ำว่า ต้นตอของคาถา ซึ่งตกทอดมาในแต่ละครอบครัว แท้จริงมาจากพระเจ้า
บทสรุป
อิสลามชายขอบ ในโลกยุคหลังอาณานิคม
เมื่อปลดการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเป็นใหญ่ในเวทีเทววิทยาออก ข้อทะเลาะเบาะแว้งในยุคแรกของโลกมุสลิม มักจะจดจ่ออยู่ที่เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่จารึกเป็นอักขระ และอยู่ระหว่างอักขระ รูปแบบและบริบท จุดบรรจบและจุดแยกของวิธีการ และผู้ทรงอำนาจของสถาบันกับการปกครองตัวเองของปัจเจกชน ทุกวันนี้ เมื่อข้อพิพาทที่เหลือต่างๆในอิสลาม ได้ปรากฏออกมาว่าได้ถูกจัดเป็นระบบราชการและมีการกำกับบังคับใช้ การพิพาทก็ยังคงดำเนินต่อไประหว่างนักการศาสนาอนุรักษ์นิยมที่เป็นตัวแทนของผู้ทรงอำนาจทางจิตวิญญาณ ที่ยืนอยู่ข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่ง คือ นักคิดนอกวงการนักการศาสนาที่สนับสนุน หรือทำหน้าที่เหมือนทนายแก้ต่างของฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นไทแก่ตนเอง (Spiritual autonomy)
ถึงอย่างไรก็ตาม การอภิปรายในวันนี้เป็นการเติมอีกมิติหนึ่งในวงการอภิปราย ความหมายของคำว่าศีลธรรม เกี่ยวพันกับศีลธรรมของการจัดลำดับเวลา—ซึ่งในที่นี้ คำศัพท์ที่ใช้ในการอภิปราย ถูกครอบงำโดยเนื้อหาการลำดับเวลาที่จุด “ช่วงเว้นวรรค” ถูกทำเครื่องหมายด้วยการอิงที่เหตุการณ์ของเคลื่อนตัวเข้ามาของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มี “ความสมัยใหม่” ที่ทรงพลัง ปฏิกิริยาหมู่ต่อการจัดลำดับเวลาที่กระทำโดยเจ้าอาณานิคม ได้แปลงให้พวกเราเป็นแค่ประชากรของประสบการณ์หลังยุคอาณานิคม
แน่นอน มันเป็นเรื่องไร้เดียงสาที่จะไปสมมติว่า เราสามารถจะปลดเปลื้องโซ่ตรวนของการจัดลำดับเวลาเชิงการเมืองและภูมิศาสตร์นี้ได้ แต่ในความเห็นของดิฉัน พวกเราไม่ควรจะยอมรับง่ายๆ ว่าภูมิศาสตร์และการจัดลำดับเวลาในยุคหลังอาณานิคม เป็นเส้นแบ่งเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ เพียงชุดเดียว การให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยการจัดลำดับ มักจะบิดเบือนจิตสำนึกในเชิงประวัติศาสตร์หรือความสมัยใหม่ แล้วใส่ลงไปในยุทธศาสตร์เชิงศีลธรรมจนเลี่ยงไม่ได้ที่แต่ละฝ่ายจะสร้างพระเจ้าให้เข้ากับลำดับเวลาที่ตนได้กำหนดไว้ แล้วก็จะเกรี้ยวกราดต่อฝ่ายอื่น ที่มาจากมิติอื่นที่มีการจัดลำดับเวลาและภูมิศาสตร์ ที่ทำลายความต่อเนื่องของขอบเขตเวลาและสถานที่ ๆ ตนได้กำหนดไว้
ดิฉันมีความห่วงใยในผลของการโต้วาทีเชิงเทววิทยาของชาวมุสลิม ซึ่งแบกภาระของความจำเป็นที่จะต้องตีความ หรือเอาชนะสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ผู้ทรงพลัง ในการโต้วาทีแบบนี้ มักจะต้องมีการตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า ชาวมุสลิมคิดเหมือนกันหมด หรือสมมติกันว่าไม่มีสังคมมุสลิมใดที่อาจจะมีวิธีติดต่อต่างออกไปในเชิงคุณภาพกับ “ศัตรู” และก็มีแนวทางอย่างอื่นในการทำความเข้าใจกับการจัดลำดับความสำคัญตามคำสอนของโมฮัมเหม็ด สังคมเหล่านี้ อาจจะมีวิธีการแสดงออกถึงความเคร่งครัดเลื่อมใสตามความเชื่อของพวกเขาที่อยู่นอกกรอบอิสลาม และมีเหตุผลของพวกเขาเองที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความคิดสมัยใหม่ สังคมเหล่านี้ เช่นในอินโดนีเซีย ถูกล็อบบี้อย่างหนักหน่วงให้กลายเป็นผู้มีเหตุผลหรือยอมรับแนวคิดเชิงเทววิทยาโดยผ่านกรอบคิดสมัยใหม่ (theological via modernity) อิสลามหรือทั้งสองอย่าง พิมพ์เขียวจิตวิญญาณของทั้งสองฝ่าย จะค่อยๆ ถูกลบออก เมื่อความเชื่อแบบใหม่เกิดขึ้น เป็นความเชื่อที่จะนำพาพวกเขาให้ไปสู่การพัฒนาที่จัดเจนขึ้น ให้เกิดจารีตใหม่ที่รองรับความหลากหลายของศาสนาได้ สังคมมุสลิมดังกล่าว แท้จริงจะมีอำนาจในการธำรงไว้ซึ่งขันติธรรมต่อความเชื่อหลากหลาย ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้วว่าได้ประสบความสำเร็จในการปรับตัวซึมซับอิสลาม โดยเป็นผู้ตั้งเงื่อนไขและตัดสินใจเอง แม้ว่ากระบวนการต่อรองแปลงศาสนาจะค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องจัดการให้เข้ากับสถานการณ์ภายในท้องถิ่น และถ่ายทอดอิสลามที่มีรายละเอียดที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นจากแดนไกล
ทุกวันนี้ การโต้เถียงในความหมายของภาษาระหว่างมุสลิมนักการศาสนาและมุสลิมปัญญาชนในเวทีนานาชาติ ส่วนใหญ่จะถูกตีกรอบให้ตอบสนองแนวคิดสมัยใหม่ และให้ตีความเกี่ยวกับโลกตะวันตกเพื่อจะได้ตอบโต้กับมัน ในขณะที่ทุกคนกำลังมองหาอิสลามที่ใช้ได้และขนานแท้ที่สุด อิสลามในเอเชียอุษาคเนย์ ยังคงอยู่ที่ชายขอบ—ไม่เคร่งศาสนา หรือไม่ทันสมัย หรือทั้งสองอย่าง ดังนั้น จึงไม่ใช่อิสลามขนานแท้
Lee (1997) ใน Overcoming Tradition and Modernity, The Search for Islamic Authenticity ได้วิเคราะห์ ปัญญาชนมุสลิม 4 คน ที่ไม่ยอมรับวิธีคิดแบบแยกขั้วระหว่าง ความสมัยใหม่ และความเคร่งครัดยึดมั่นประเพณีเดิม (modernity – orthodoxy) การที่แต่ละคนได้เสนอให้ใช้กระบวนการแตกต่างกันในการค้นหาอิสลามขนานแท้ ได้เผยให้เห็นถึงความไม่สม่ำเสมอของแต่ละแนวทาง Lee ได้เตือนพวกเราให้เห็นถึงมายาคติของความเป็นของแท้ เพราะมันเริ่มด้วยการดัดแปลงรายละเอียดในสมมติฐานที่พบเจอในโลกของมุสลิม แต่ความต้องการที่จะแสวงหาของแท้เพื่อสร้างรากฐานและมาตรฐานดังกล่าว ได้ผลักดันให้พวกเขามุ่งไปหาสิ่งที่ครอบจักรวาลสากล เป็นนามธรรมและแก่นแท้ แต่สังเวยรายละเอียดรูปธรรมบางประการ ไม่ว่าจะมีข้อมูลรองรับมากสักแค่ไหนในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพียงเพราะรายละเอียดระดับปัจเจกและวัฒนธรรมไม่สามารถใช้เป็นพื้นฐานของความเป็นของแท้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การแสวงหาอิสลามของแท้ จะต้องมีปัญหาเมื่อเคลื่อนตัวจากรายละเอียดเฉพาะสู่ลัทธิครอบจักรวาล “ข้ออ้างถึงความแตกต่างจำเป็นจะต้องกำกับด้วยทฤษฎีขนานแท้ แต่การยอมรับรู้ข้ออ้างนั้นในทุกๆ กรณี จะเป็นการยอมรับการดำรงอยู่และการเมืองแบบอนาธิปไตย นั่นคือ ความสัมพันธ์ทั้งหมด ที่การสืบเสาะค้นหาความเป็นของแท้ทุกสายย่อมต้องการหลบหลีก” (“The claim of difference necessarily accompanies any theory of authenticity, but to acknowledge that claim in every case is to accept ontological and poltical anarchy, hence utter relatively, which every quest for authenticity would wish to avoid.” Lee 1997)
สำหรับดิฉัน ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ วิธีอธิบายที่ดีที่สุด คือใช้หลักนิติศาสตร์เป็นฐานใหญ่ในการวางระเบียบธรรมจริยาแบบอิสลาม ซึ่งแม้ว่าจะสามารถค่อยๆ แก้ไขในกาลต่อมาเพื่อขานรับข้อเรียกร้องของปัญญาชนมุสลิมสมัยใหม่เช่นทุกวันนี้ ฐานดังกล่าวก็ยังถูกครอบงำได้ในด้านการจัดลำดับความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ด้วยรายละเอียดที่เกิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลาง และจะกดทับรายละเอียดทางศาสนาอื่นๆ เช่น ความลี้ลับของการร่ายเวทย์มนตร์ ในทางกลับกัน นี่ก็เป็นการอธิบายว่า ทำไมลัทธิซูฟิจึงสำรวจค้นหาธรรมจริยาแบบอื่น หรือรูปแบบธรรมจริยาของชาวชวา ยังคงถูกมองว่าเป็นรูปแบบล้าหลัง ถ้าไม่ใช่นอกรีตเสียทั้งดุ้น
ในอีกแง่หนึ่ง พวกเรายังคงเป็นมุสลิมโดยบังเอิญในเชิงภูมิศาสตร์ และดิฉันก็หวังว่าเราจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป เมื่อมุสลิมพวกแรกที่ทำการขยายตัวทางการเมือง ก็เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ ไม่ได้ตั้งใจแม้แต่จะสนับสนุนให้ใครเปลี่ยนศาสนา ศาสดาโมฮัมเหม็ดนำมาซึ่งประสบการณ์ที่พระเจ้าชี้ทางให้ เพื่อเริ่มการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีรายละเอียดด้านจิตวิญญาณเฉพาะติดมาจากถิ่นที่ของท่าน
การท่องเดินทางไปครั้งนี้ ทำให้ดิฉันตั้งคำถามว่า ในฐานะที่เป็นชาวเอเชียอุษาคเนย์คนหนึ่ง ทำไมเราจึงต้องสงสัยในความเพียงพอด้านจิตวิญญาณของพวกเราเอง ต้องทำลายความมีชีวิตชีวาของมัน แล้วเดือดร้อนดิ้นรนที่จะดั้นด้นให้ข้ามพ้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ เพียงเพื่อจะขอมีส่วนร่วมในสงครามต่างแดนอันนี้? ความเจนจัดในเรื่องจิตวิญญาณของพวกเรา แต่ไหนแต่ไรมาก็อยู่เหนือกว่าแนวคิดพื้นๆ เรื่องเวลาและแหล่งที่ของยุคหลังอาณานิคม (postcolonial timespace) อยู่แล้ว
ในชวา ดิฉันได้ไปเยี่ยมสุสานนักบุญ (Sunan) 10 แห่ง อันเป็นที่สักการะของชาวมุสลิม แต่ละแห่งจะมีคำบอกเล่าถึงอัตลักษณ์ของนักบุญแต่ละท่าน ซึ่งแสดงออกถึงความศรัทธาเลื่อมใสเต็มเปี่ยม ความลี้ลับ และอำนาจวิเศษ จนกระทั่งคุณจะไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นใคร ทุกท่านล้วนคล้ายๆ กับโมฮัมเหม็ด ดิฉันถูกสั่งสอนมาแต่เด็กว่า ไม่ให้หมกมุ่นอยู่กับธรรมจริยาของ “คนสื่อกลางทางจิตวิญญาณ” (spiritual middlepersons) ดังกล่าว แต่ดิฉันต้องตกตะลึง เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมที่สุสานแห่งแรก (ของ Sunan Tembayat ใน Klaten ชวาตอนกลาง) ที่ดิฉันได้ไปเยี่ยม สวมกอดแผ่นป้ายหินที่สุสานนั้น ดิฉันเกิดความกลัว แต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ได้ตามมารยาท จนกระทั่งดิฉันได้คิดว่า มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นที่ Bayat และสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมที่ไปจาริกแสวงบุญ ณ ที่นั่น ชาวมุสลิมทั้งปวง จะผลักและดันเบียดเสียดกันเข้าไปจุมพิตหินศักดิ์สิทธิ์ Hajarul Aswad ใกล้กล่องหินยักษ์ทรงลูกบาศก์ Kaabah ที่เมกกะ ด้วยเชื่อว่าได้ชะล้างบาปของตน เมื่อคนถือกุญแจและดูแลสุสาน (jurukunci) คะยั้นคะยอให้ดิฉันดื่มน้ำจากสายธารที่สุสานของ Sunan Syeikh Maulana Malik Ibrahim ที่ Gresik ชวาตะวันออก ดิฉันจำใจดื่มเพราะไม่ต้องการเสียมารยาท ทั้งๆ ที่ในใจกังวลว่าจะต้องท้องเสียภายหลัง แต่แล้วดิฉันก็ค่อยๆ เข้าใจ และเริ่มตั้งคำถามถึงความแตกต่างขั้นพื้นฐานระหว่างน้ำที่ Gresik และน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ Zamzam จากเมกกะ ซึ่งผู้ไปจาริกแสวงบุญมักจะนำติดตัวกลับบ้าน
ในเชิงโครงสร้าง ต่างแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาเหมือนกัน แม้ว่าจะแตกต่างกันที่รายละเอียดของความศักดิ์สิทธิ์ สาวกทั้งหลายล้วนเอียงเข้าหาแหล่งของความศักดิ์สิทธิ์ มุสลิมส่วนใหญ่จะติเตียนวัตรปฏิบัติดังกล่าวของชาวชวา แต่จากการพูดคุยกับคนดูแลสุสานในที่ๆ ดิฉันได้ไป และด้วยความบ้าบิ่นส่วนตัวของดิฉันที่ดึงดันขอมีส่วนร่วมในกิจกรรมบางอย่างที่ดิฉันไม่มีความเข้าใจ ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้เข้าใจถึงเบื้องหลังของข้อปฏิบัติพื้นฐานในการบูชาต่างๆ วัตรปฏิบัติเหล่านี้เป็นสื่อที่แสดงออกถึงภาพที่ใหญ่กว่าของจิตใจที่ถ่อมตน อันเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในรายละเอียดทางจิตวิญญาณของชาวชวา
ที่ Lingsar เกาะ Lombok อันเป็นบ้านเกิดของ ชาวมุสลิม Sasak (สาสัก) ดิฉันได้ไปเยี่ยม Kemaliq—วัดของสาสักแห่งหนึ่งที่ไม่มีศาสนาใดรับรอง วัดแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่กล่าวกันว่านักบุญชวาท่านหนึ่งกับลูกศิษย์ ได้ขุดเจอน้ำพุซึ่งเป็นน้ำที่รักษาโรคได้ น้ำนี้อาจจะรักษาโรคได้หรือไม่ได้ แต่ความจริงคือ ผู้ดูแลรักษา Kemaliq เป็นคนมุสลิม ผู้ปฏิบัติตามมาตรฐานธรรมจริยาต่างๆ Kemaliq เปิดรับทุกคนที่มีความเชื่อ ให้เข้ามาสวดมนตร์และทำพิธีกรรมต่างๆ ได้ ตราบที่จะไม่นำเนื้อหมูหรือเนื้อวัวเข้ามาในบริเวณนั้น หรือทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม พอดิฉันถาม Inak Sanusi หญิงมุสลิมวัย 50 ที่เป็นคนท้องที่ของ Lingsar ว่า ทำไมเธอจึงมาเยี่ยม Kemaliq แทนที่จะไปที่มัสยิดเพื่อสวดมนตร์ภาวนา เธอตอบว่า “ดิฉันไปมัสยิดด้วย แต่ก็ต้องมาที่ kemaliq ด้วย”
เป็นเวลายาวนานมาแล้ว และนี่คือภูมิปัญญาของอิสลามอินโดนีเซีย ที่สามารถจะให้อะไรมากมายแก่ชาวโลก แต่ความเข้มข้นในรายละเอียดคงจะไม่เชื้อเชิญให้นักการศาสนามุสลิมดั้งเดิมหันมาสนใจ อย่าว่าแต่จะรวมให้เข้าอยู่ในความเป็นสากล หรือปัญญาชนสมัยใหม่ก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีปัญญาชนอินโดนีเซียที่คัดค้านกระแสอนุรักษ์ดั้งเดิม และช่ำชองในแนวคิดสมัยใหม่ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ยอมรับรายละเอียดของวัฒนธรรมอื่นให้ร่วมเป็นมาตรฐานเพื่อที่เขาจะยึดถือได้ อดีตประธานาธิบดี Abdurrahman Wahid (1997) ครั้งหนึ่ง ได้เขียนติดตลกในชวาว่า ความเกรี้ยวกราดต่อกันระหว่างค่ายต่างๆ ตั้งแต่ ศันตรี ถึงชุมชนศิลปิน ที่ถกเถียงเรื่องอัตลักษณ์มุสลิม ถูกบริหารด้วยการพักรบอะไรทำนองนั้น สำหรับดิฉัน นี่เป็นสัญญาณชัดที่ว่า ศันตรี ชวาหลายคน ไม่ต้องการจะติดหล่มของความคิดผิดๆ ในการอ้างว่าตนเป็นของแท้ ด้วยความจัดเจนที่มีอยู่แล้ว มุสลิมอินโดนีเซียได้เพลิดเพลินอยู่กับรายละเอียดของตนในการแสดงออกถึงความศรัทธา มีชีวิตที่ใกล้เคียงกับประสบการณ์ทางศาสนา ที่ตนคุ้นเคย และจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ไม่กังวลมากเกินไปกับเรื่องไร้ประโยชน์ของการแสวงหาความเป็นของแท้ ดิฉันเชื่อว่า ความเห็นส่วนบุคคลดังกล่าวเป็นเหมือนแนวทางของหลายๆ รูปแบบทางจิตวิญญาณของโลกตะวันออก วิธีการที่หมู่เกาะเหล่านี้ต่อกรกับสาระความเชื่อที่เปิดเผยโดยโมฮัมเหม็ด ที่จริงเป็นคุณูปการต่อแนวคิดของมุสลิม แม้ว่าจะยังไม่ค่อยมีคนเห็นคุณค่านัก
แล้ววันหนึ่ง เมื่อพวกเราสิ้นสุดการโต้วาทีเรื่องภูมิศาสตร์ที่กำหนดโดยคนต่างชาติ เรื่องความฝังใจต่อ fiqh ทั้งเก่าและใหม่ บางทีเราอาจจะถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความหมดแรงเมื่อเราตระหนักว่า เราไม่เคยด้องอาศัย fiqh เลย ไม่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างเมื่อถูกบังคับใช้โดยภาครัฐ
/dt
[1] “Dissidents and Disciples: The Geography of Islam in Indonesia ” by Shamila Annie binti Mohamed Ariffin (API 2004/2005), Staff, Media and Research Office, Sahabat Alam Malaysia, Malaysia [2007, pp. 81-97]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น